หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทัณฑ์เถื่อน : ตอนที่ 1 หัวใจไขว้เขว


ตอนที่ 1
หัวใจไขว้เขว
ดวงตากลมโตจับจ้องอยู่ที่นาฬิกาเรือนใหญ่เหมือนกับนาฬิกาโบราณด้วยมีลูกตุ้มเหล็กขนาดใหญ่แกว่งเป็นจังหวะด้วยหัวใจที่จดจ่อเต้นแรงเร็วเหมือนกับปืนกลอย่างตื่นเต้นและรอคอย ชะเง้อคอมองลอดผ่านประตูบ้านไม้สักทองกรุลวดลายอย่างอ้อนช้อยงดงามด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่กลัวคอจะยาว หูก็แว่วฟังคนรับใช้ที่ถูกสั่งการให้ไปดูลาดเลาจากบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงว่ามีรถกลับเข้ามาหรือยัง
วงหน้าสวยรูปหัวใจแย้มยิ้มจนแก้มแทบจะปริ ประกอบกับดวงตากลมโตเปล่งประกายระยิบระยับเหมือนกับลูกแก้วใสยามสะท้อนแสงไฟด้วยหัวใจฟูฟ่องโป่งพองอย่างสุขสมเพราะการรอคอยเป็นเวลาหลายปีกำลังจะสิ้นสุดลงไปในเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้า สองมือเล็กเย็นเฉียบจับกันไว้มั่น ก่อนวงหน้ารูปหัวใจจะแย้มยิ้มจนดวงตาเป็นประกาย
คนที่เธอรักมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาวกลับมาแล้ว...พี่สองกลับมาแล้ว พี่สองจะจำเธอได้ไหม จำสาวน้อยที่อยู่บ้านชิดติดกัน เด็กตัวเล็กที่คอยร้องไห้โยเยเดินตามติดไปโรงเรียนทุกวัน คอยอ้อนวอนขอขึ้นขี่หลังยามที่จะเป็นลมหรือไม่ก็บอกความเป็นเจ้าของแก่แม่สาวหน้าแฉลมที่คอยเมียงมองส่งสายตาหวานๆ ให้คนนี้ได้หรือเปล่า
ยิ่งคิดมณีมณฑ์ก็ยิ่งกังวลและขลาดกลัว ฟันขาวสะอาดขบกัดปลายเล็บตัวเองแรงๆ หลายปีมานี้เธอเฝ้ารอฟังข่าวศรวัณจากบ้านใกล้ๆ เป็นประจำ ก็รู้บ้างไม่รู้บ้างให้พอชื่นใจได้ว่าชายหนุ่มนั้นยังคงไม่มีในหัวใจ แต่ปีกว่ามานี้เธอกลับไม่ได้ข่าวคราวของอีกฝ่ายเลยสักนิด ไม่ว่าจะเพียงสอบถามข่าวยังไงก็ไม่เคยมีใครตอบกลับมา
“มาแล้วคะคุณผึ้ง มาแล้วคะ” แน่งน้อยสาวใช้วัยไม่ถึงยี่สิบปีที่แม้จำต้องเลี้ยงไว้เพื่อคอยดูแลเธอซึ่งมักจะเป็นลมอยู่บ่อยครั้งวิ่งกระหืดกระหอบพร้อมเสียงตะโกนดังเสียงจนลั่นห้อง ร้อนไปถึงหญิงวัยกลางคนซึ่งก้าวบันไดลงมาต้องดุเสียงเขียว
“มีอะไรน้อย ตะโกนซะเสียงดังลั่นบ้านเชียว” มณีวรรณไม่เพียงดุด้วยใบหน้าและสายตาแต่ยังจะดุด้วยคำพูดสำทับไปอีก “ฉันสอนแล้วใช่ไหมว่ามาอยู่บ้านนี้ต้องให้ทำตัวเรียบร้อย ไม่ทำตัวกระโดกกระเดกเหมือนม้าดีดกะโหลก”
หญิงวัยกลางคนที่ยังคงความสง่างามและสวยใสทั้งวงหน้าและเรือนกายที่แม้จะผ่านการคลอดมาแล้วถึงหนึ่งคนแต่รูปร่างก็ยังคงอรชนอ้อนแอ้นไม่ผิดแผกเมื่อตอนสาวๆ เดินมานั่งใกล้กับบุตรสาว มือเล็กคว้าหมอนอิงถักจากเส้นไหมเนื้อนุ่มงานจากฝีมือของนางเองออกไปให้ได้ใกล้ชิดลูกสาวมากขึ้น
“เราก็เหมือนกันผึ้ง ใช้น้อยไปทำอะไรมาอีกลูก” มณีวรรณถามน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนก็จริงแต่ก็คาดคั้นเอาคำตอบ ดวงตาจับจ้องร่างลูกสาวอย่างค่อนข้างจะแปลกใจกับการแต่งกายด้วยชุดใหม่ที่เพิ่งจะอ้อนให้เธอพาไปซื้อเมื่อสองสามวันก่อน
พวงแก้มและริมฝีปากที่เคยซีดเซียวกลับเป็นสีชมพูเรื่อโดยธรรมชาติของผิวกายสาวไม่ต้องแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินผิวราคาแพงแม้แต่อย่างใด ประกายในดวงตากลมโตแวววาวระยับเหมือนกับลูกแก้วยามสะท้อนแสงไฟก็ไม่ปานแล้วให้แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าลูก หน้าตาสดใสเชียว” มือเล็กยกขึ้นลูบผมลูบหน้าลูกสาวอย่างรักใคร่ระคนเอ็นดู “หืม...ว่าไงลูก มีอะไร”
“เปล่านี่ค่ะ ไม่มีอะไรสักหน่อย” มณีมณฑ์ตอบกลับพร้อมมือเล็กที่ยกขึ้นปัดปลายจมูกโด่งได้รูปปิดบังอาการเขินอายของตัวเองจากสายตามารดาที่ดูจะรู้ทันไปหมดซะทุกอย่าง
“ไม่มีจริงนะหรือ แม่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหนูเลยนะผึ้ง ท่าทางแบบนี้กำลังคิดจะไปทำอะไรไม่ดีกับน้อยอีกแล้วใช่ไหมนี่”
ดวงตาคมหวานปรายไปมองแม่สาวใช้ร่างเล็กที่นั่งอยู่ไม่สุขตรงหน้าอย่างคาดคั้น ยิ่งได้เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลน อ้าปากจะพูดอยู่ก็หลายครั้งแต่ก็รีบยกมือขึ้นปิดปากเสียทุกทีไปของแน่งน้อย ก็ก่อให้ความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาคมมองเด็กรับใช้และลูกสาวสลับกันไปมาอย่างคาดคั้นหาคำตอบ
ถ้าลูกสาวเป็นเหมือนกับเด็กสาวทั่วไปก็คงจะไม่เป็นห่วงขนาดนี้หรอก แต่นี่มณีมณฑ์เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะอ่อนแอ ตากแดดหน่อยก็เป็นลมล้มพับ ฝนตกยังไม่ทันจะถูกไอฝนก็ป่วยเป็นไข้หวัด สารพันที่จะเป็นได้ แล้อย่างนี้จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไรกัน
“ว่าไงน้อย คิดจะพาคุณผึ้งไปทำอะไรอีก ถ้าคุณผึ้งป่วยฉันจะหักเงินเรานะ” มณีวรรณขู่
“โธ่...แม่ขา น้อยไม่ได้ชวนผึ้งไปทำอะไรสักหน่อย” ผู้อ่อนวัยกว่าพูดออดอ้อนเสียงหวานใส ร่างเล็กบอบบางเอนกายพร้อมปลายนิ้วยาวเรียวที่ยกขึ้นแนบปากห้ามปรามแน่งน้อยไม่ให้พูดเรื่องที่ให้ไปสืบมาก่อนสองแขนเรียวยาวสอดเข้าระหว่างเอวเล็กของมารดา
“ไม่มี้ไม่มีอะไรจริงๆ คะแม่ขา” มณีมณฑ์ร้องบอก มือเล็กสะบัดเล็กน้อยขับไล่แม่คนรับใช้ที่เป็นลูกคู่ให้ถอยห่างไปก่อนที่ความลับจะแตกดังโพล๊ะให้อายมารดาที่พร่ำตัดเตือนหนักหนาว่าอย่างคิดใหญ่เกินตัวด้วยไม่อยากให้ต้องผิดหวังและช้ำชอกใจ
ด้วยเพราะความไม่คู่ควรของครอบครัวเธอและศรวัณ ในตอนแรกพ่อและแม่ของศรวัณก็รักและเอ็นดูเธออยู่พอสมควร แต่พอเธอเติบโตเป็นสาวความรักใคร่และเอ็นดูก็เริ่มจืดจาง รวมถึงความสัมพันธ์ที่ห่างเหินจนแทบจะไม่ค่อยจะสุงสิงกันในปัจจุบัน
แล้วที่สำคัญคือคนที่จะมาเป็นสะใภ้ของตระกูลนิโรจน์อนันต์จะต้องเป็นหญิงสาวที่มีฐานะและชาติตระกูลที่เท่าเทียมกัน ดูอย่างพี่ชายคนโตที่รักกับสาวคนหนึ่งตั้งแต่ทั้งคู่ยังเรียนมหาลัย หวังว่าจะได้แต่งงานกันเมื่อเรียนจบ กลับต้องคลาดกันไปเพราะฝ่ายหญิงที่ฐานะตกต่ำลง คุณใหญ่ต้องไปแต่งงานกับผู้หญิงที่แม่เลือกให้
ที่สำคัญก็คือคนที่เธอรักที่ให้ความรักและสนิทสมต่อเธอแบบน้องสาวเท่านั้นเอง หาใช่รักแบบคนที่ต้องการจะร่วมเป็นคู่ครอง คำสัญญาที่เคยให้ไว้ก็เพียงเพราะต้องการให้เด็กน้อยอย่างเธอทำใจได้กับการไปเรียนต่อของเขาเท่านั้นเอง อีกทั้งฐานะทางสังคมก็แตกต่างกัน ด้วยครอบครัวเธอเป็นเพียงแค่พ่อค้าแม่ค้าขายของ ที่โชคดีหน่อยของที่ขายคุณภาพดีและราคาไม่แพงเลยขายดี ในขณะที่ครอบครัวของศรวัณเป็นถึงครอบครัวนักธุรกิจใหญ่ร่ำรวยทั้งเงินทองและหน้าตา
“ผึ้งรู้คะแม่” แต่ผึ้งก็หักห้ามใจตัวเองไม่ให้รักพี่สองไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ มณีมณฑ์ต่อท้ายคำตอบด้วยใจที่หมองเศร้าเล็กน้อย
หลายปีที่ศรวัณไปเรียนต่อเมืองนอกเธอได้แต่เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไหร่ชายหนุ่มจะติดต่อกลับมาทางโลกการสื่อสารที่ก้าวหน้าไปเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่เคยเลยที่ชายหนุ่มจะส่งข่าวคราวมาถึงเธอตามคำสัญญา อย่าว่าแต่ติดต่อมาเลย ตอนที่อยู่ใกล้ชิดกันวันสำคัญของเธอเขาก็ไม่เคยที่จะมีคำอวยพรหรือของขวัญให้เลย คงเป็นเธอที่เฝ้าคอยมองดูเขาอยู่ด้านหลังตลอดมา
วงหน้าสวยใสที่มีสีแดงด้วยเลือดฝาดแต่งแต้มซีดเผือดลง ฟันกระต่ายสองซี่ขบกับริมฝีปากอวบอิ่มที่เหมือนกับราดด้วยน้ำเชอรี่ฉ่ำนุ่มจนเจ็บแปลบ ในดวงตากลมโตมีน้ำใสๆ เอ่อล้นซึมออกมาเล็กน้อยอย่างปวดแปลบในใจเมื่อความรู้สึกที่มอบให้ไปไม่ได้รับการตอบสนองกลับมาอย่างที่ใจต้องการ
แต่ไม่...ลมหายใจอุ่นร้อนสูดจนเต็มปอด เธอจะไม่ยอมแพ้หรอก ยังไงเธอก็ต้องใช้ความน่ารักใสซื่อไร้เดียงสาและร่างกายที่มันอ่อนแอให้เป็นประโยชน์ เรียกความสนใจและพยายามดึงเอาหัวใจศรวัณมาครอบครองให้จงได้ ประกายในดวงตากลมโตมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
 “รู้ก็ดีแล้วลูก เรากับเขามันคนละชั้นกัน ไม่คู่ควรด้วยประการทั้งปวง เพราะแม่รักหนูแม่ถึงอยากให้หนูหักใจจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดหากว่าพี่สองมีคนอื่นเคียงข้างกาย”
มือเล็กเรียวยกขึ้นลูบผมดกดำหนานุ่มเป็นเงางามอย่างกลัดกลุ้มและเป็นกังวล ผ่อนลมหายใจออกจากปอดเบาๆ ด้วยรู้ดีว่าถึงแม้มณีมณฑ์จะตอบกลับมาแบบนั้น แต่ลูกสาวคนนี้ของนางเป็นคนดื้อเงียบ ถึงแม้จะรับปากแล้วแต่ถ้าไม่พอใจก็จะไม่ทำตามคำพูดที่ให้ไว้
“อีกอย่างแม่ก็ได้ข่าวมาว่าทางพ่อแม่คุณสองเขาเตรียมหาลูกสะใภ้ที่เขาถูกใจไว้แล้วนะลูก หนูตัดใจซะเถอะลูก ฝืนไปก็รังแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บช้ำมากเท่านั้น” ไม่ได้อยากพูดให้อีกฝ่ายช้ำชอกใจหรอกนะ แต่ทว่าอยากเตือนให้อีกฝ่ายนั้นตัดใจจากศรวัณเสียที ฝืนเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวก็รังแต่จะทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดชอกช้ำมากเท่านั้น
“แม่เตือนก็เพราะแม่หวังดีและรักหนูนะลูก รักเขาข้างเดียวมันมีแต่รังจะทำให้เราเจ็บช้ำนะลูก” แขนเรียวยาวโอบรอบลำตัวกลมกลึงที่สั่นสะท้านเมื่อได้ยินคำพูดที่เหมือนกับคมมีดกรีดไปบนหัวใจอันบอบบางให้ต้องแตกแยกเป็นสองซีก  ไพล่ขึ้นไปลูบเส้นผมหนานุ่มอย่างเบามืออย่างปลอบประโลม
“มะ...แม่รู้ได้ยังไงคะ” มณีมณฑ์ถามกลับเสียงแหบแห้งอย่างไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะไม่เคยได้ยินข่าวนี้จากบ้านศรวัณมาก่อนเลย
“แม่ได้ข่าวมาจากไหน ยังไงหนูไม่ต้องรู้หรอกนะลูก รู้แต่ว่าเมื่อคุณสองเขากลับมานะ เขาจะต้องเข้าพิธีหมั้นกับผู้หญิงที่พ่อแม่เขาหาให้ก็พอแล้วลูก”
เพราะมณีมณฑ์ไม่ค่อยจะได้ออกจากบ้าน เลยไม่รู้ข่าวคราวที่เล่าลือกันในวงสังคมเรื่องการที่สองตระกูลใหญ่กำลังจะเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน ฝ่ายชายนั้นไม่รู้ แต่ฝ่ายหญิงนั้นทั้งร่ำรวยอันดับต้นๆ ของประเทศ สวยงามทั้งรูปโฉมโนมพรรณ การศึกษาที่จบจากมหาลัยมีชื่อเสียง เพียงเท่านี้ลูกสาวของนางก็สู้ไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรไปต่อกรกับอีกฝ่ายได้ละ
“ไม่เอาละคะแม่ ไม่พูดเรื่องไม่สบายใจแล้ว หนูหิ้วหิวคะแม่” มือเล็กยกขึ้นลูบไล้ท้อง พร้อมรอยยิ้มแหยๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกต่างๆ ที่มีอยู่ในหัวใจ “แม่ไม่มีอะไรกับผึ้งแล้วใช่ไหมคะ งั้นผึ้งไปก่อนนะคะ”  มณีมณฑ์เห็นแม่แน่งน้อยสาวใช้ร่างเล็กตัวดำแอบโผล่หน้ามามองหลายครั้งแล้วก็รีบขอตัวออกจากอ้อมกอดมารดาโดยไว
“เดี๋ยวผึ้ง หนูจะไปไหนลูก” มณีวรรณร้องถามด้วยเห็นว่าในวันนี้ถึงแม้แดดจะออกจ้าก็จริง แต่ลมก็พัดแรงและบนท้องฟ้าไกลลิบก็รู้สึกเหมือนว่าจะมีเมฆหมอกสีเทาลอยอยู่จนกลัวว่าฝนจะตกลงมาทำให้ลูกสาวของนางป่วยเป็นไข้ไปอีก
“หนูจะออกไปดักรอพี่สองคะ” มณีมณฑ์ร้องบอก่อนจะรีบตะบบมือบนปากตัวเองอย่างเร็วไวเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป “เฮ้ย...ไม่ใช่คะไม่ใช่ หนูจะออกไปหาอะไรทานที่สวนสาธารณะสักหน่อยนะคะแม่ แป๊บเดียวเอง แม่ไม่ต้องห่วงนะคะจะรีบกลับมาคะ”
แจ้งสถานที่ซึ่งเป็นที่ประจำของเธอ สวนสาธารณะที่มีแอ่งน้ำใสแจ๋ว สนามหญ้ากว้างใหญ่ ไม้ดอกไม้ประดับหลากสีสันที่แข่งกันชูช่ออวดความสวยงามและต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่น อากาศที่สดชื่นและแจ่มใสและอาหารอร่อยจนมักจะไปทานบ่อยๆ หากว่าไม่มีอาการทางร่างกาย แถมยังอยู่ใกล้บ้านเพียงแค่ไม่ถึงสี่ห้าร้อยเมตรเท่านั้น แม่เลยไม่เป็นห่วงและกังวลยามที่เธอไปยังที่แห่งนั้น
“อย่างไปเถลไถลที่ไหนเข้าละผึ้ง ทานเสร็จก็แล้วรีบกลับมานะลูก” มณีวรรณร้องเตือนพร้อมส่ายศีรษะอย่างระอิดระอาในความกระโดกกระเดกของลูกสาว วงหน้าที่ยังคงความงดงามหันไปมองรูปสามีที่ตอนนี้ไปรับซื้อของจากแหล่งผลิตจากทั้งเหนือและใต้มาจำหน่ายด้วยความกังวลที่ยังคงซุกซ่อนไว้ในอกของคนเป็นแม่
“ค่ะแม่ ผึ้งจะรีบกลับ” มณีมณฑ์ตอบกลับอย่างดีใจที่แม่ไม่ห้ามปราบ แม่คงจะไม่ได้ยินคำตอบแรกของเธอเมื่อครู่เลยไม่มีการตอบกลับมา รีบถลาวิ่งออกจากบ้านเหมือนกับนกน้อยที่หลุดออกจากกรงทองไปยังจุดหมายปลายทางที่ปรารถนาด้วยใจร้อนร้นกระวนกระวายอยากจะเห็นหน้าผู้ที่กำเอาดวงใจไว้ยิ่งยวด

วงหน้าสวยแดงปลั่งด้วยเลือดลมที่มันสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงยิ้มกว้างจนเห็นฟันกระต่ายด้านหน้าทั้งสองซี่อย่างชัดเจน ในดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสเริงร่าวิ่งไปหยุดแอบแดดร้อนจ๋าใต้ร่มไม้ใกล้กับประตูรั้วอันลอยหน้าบ้านหลังใหญ่ราวกับคฤหาสน์ แม้จะล่วงเลยพ้นเดือนเมษายนไปเกือบจะครึ่งเดือนแล้ว แต่อากาศรอบข้างจะร้อนจนตับแทบจะสุกไหม้แต่มณีมณฑ์ก็ไม่แม้แต่จะคิดให้ความสนใจ
“ว่าไงน้อย พี่สองมาถึงแล้วใช่ไหม” ปากอวบอิ่มแดงปลั่งขยับเป็นจังหวะด้วยน้ำเสียงหวานนุ่มที่เจือไปด้วยอาการกระหืดกระหอบเล็กน้อย ดวงตากลมโตกวาดมองไปในบริเวณบ้านมองหาคนที่หัวใจร่ำร้องอยากจะเห็นหน้า เธอเฝ้ารอวันนี้มาเนิ่นนานหลายปี
หัวใจสาวน้อยแรกรุ่นเต้นตักตักรัวเร็วเหมือนกับมีคนกระหน่ำตีกลองอยู่ภายในด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น มีเพียงแค่เธอที่เฝ้ามองศรวัณด้วยใจรักและภักดี จากเพียงแค่ความชื่นชอบในท่วงท่าการพูดจาหวานหู ใบหน้ารูปกายอันหล่อเหลามีเสน่ห์จนเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ในโรงเรียน แต่ทุกครั้งข้างกายชายหนุ่มจะมีเพียงแค่เธอเสมอ
แล้ววันหนึ่งก็เหมือนกับฟ้าฟาดลงกลางศีรษะ เพราะเพียงแค่จบมัธยมปลายอีกฝ่ายก็บอกว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอกเป็นหลายปีทีเดียวกว่าจะกลับมา หัวใจเธอเหมือนกับถูกคมมีดกรีดด้วยความปวดร้าวกับคำว่ารอคอยอย่างไร้ความหวัง เพราะอีกฝ่ายตั้งแต่จากไปก็ไม่มีการติดต่อกลับมาหาเลยแม้แต่น้อย วงหน้าสวยหวานหมองเศร้าลงเมื่อนึกถึงช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าพ่นจากริมฝีปาก น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นคลอเบ้า
เป็นครู่ใหญ่กว่าที่มณีมณฑ์จะดึงสติที่จมอยู่กับอดีตกลับมา วงหน้าสวยชะเง้อจนคอยาวมองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ แต่ว่าระยะทางจากประตูบ้านกับคฤหาสน์นั้นห่างไกลกันหลายร้อยเมตรทีเดียว เลยทำให้เห็นคนที่คงจะนั่งคุยกันอยู่ในห้องโถงใหญ่ของบ้านไม่ได้ จึงได้แต่เสียดายที่ยังไม่ได้เห็นหน้าคนที่เฝ้ารอคอย
“คะคุณผึ้ง น้อยเห็นจะๆ เต็มสองตาเลยคะ คุณสองจากรถและตรงเข้าไปกอดคุณแม่หอมแก้มซ้ายแก้มขวาอย่างกำลังคิดถึงกันม้ากมาก” แน่งน้อยเน้นเสียงและยาวให้ดูน่าสนใจ แต่สิ่งหนึ่งที่แม่คนรับใช้ร่างเล็กกะทัดรัดกลมเหมือนลูกขนุนไม่กล้าจะบอกผู้เป็นนายด้วยกลัวว่าถ้าหากนายสาวรู้ว่าชายหนุ่มที่เธอทั้งรักทั้งคลั่งไคล้ชนิดที่ว่าแทบจะกินจะนอนก็ถวิลหามีหญิงสาวอีกนางเคียงข้างกาย
แม้ว่าระยะห่างจากรั้วบ้านและเทอร์เรสจะไกลกันแต่คนที่จับตามองอยู่ก็เห็นอย่างชัดเจน ตอนที่ศรวัณก้าวลงมาจากรถนั้นไม่ได้ลงมาเพียงคนเดียว แต่กลับมีสาวร่างสูงโปร่งก้าวเดินตามลงมา สองกายที่ยืนแนบชิดกันโดยที่แขนใหญ่ของศรวัณวาดไปโอบรอบกายดูแล้วเหมาะสมกับเป็นที่สุด
“นั่งไงคะ นั่นไงคุณผึ้ง ออกมาแล้วคะ ออกมาแล้ว” แน่งน้อยร้อยอุทานหันหน้ามองนายสาวพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้กั้นเสียงร้องอุทานที่จะเปล่งออก เมื่อเห็นว่าร่างของศรวัณที่เดินออกมาจากบ้านนั้นหาออกมาเพียงคนเดียวไม่ ด้วยข้างกายมีสาวสวยผมสีทองสุกปลั่งจนเห็นแต่ไกลตามติดมาอย่างแนบชิด 
“ยัยบ้านั่นเป็นใคร แล้วทำไมมันถึงไปยืนอีอ๋อแนบชิดกับพี่สองของฉันแบบนั้น” มณีมณฑ์เปล่งวาจาเกรี้ยวกราด ในดวงตาเป็นประกายลุกโชนเป็นไฟ
ความโกรธเกรี้ยว อิจฉาริษยาอัดแน่นในทรวงจนหายใจแทบจะไม่ออก มือเล็กต้องรีบยกขึ้นลูบอกพยายามบอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นๆ ก่อนที่ไฟร้อนจากทั้งภายในและภายนอกจะทำให้ร่างกายที่มันเริ่มจะแข็งแรงขึ้นเพราะการได้รับประทานอาหารดีๆ และมีประโยชน์บวกกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะกลับกลายเป็นยัยขี้โรคผอมกะหร่องกะแหร่ง สามวันดีสี่วันอยู่บนเตียงโรงพยาบาล ใบหน้าซูบซีดเซียวไร้ซึ่งสีเลือดเหมือนกับซากศพอย่างไรอย่างนั้น  ริมฝีปากซีดเผือดและแตกระแหง ดวงตาลึกโป๋หาความสดใสและร่าเริงได้เลย
“ใจเย็นๆ นะคะคุณผึ้งใจเย็นๆ ” แน่งน้อยปลอบประโลมนายสาวสุดรักด้วยความเป็นห่วงสุดหัวใจด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “เดี๋ยวน้อยไปสืบให้คะว่ายัยผู้หญิงผมทองคนนั้นเป็นใครนะคะ” มือเล็กดำหยาบกระด้างยื่นไปลูบแขนนายสาวเบาๆ อย่างต้องการปลอบประโลม
“จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไงน้อย ดูยัยบ้านั่นทำซิ” มณีมณฑ์กัดฟันพูดกับสาวใช้คู่ใจ ในหัวอกหัวใจเหมือนเป็นเหมือนฟองอากาศที่อยู่ในขวดน้ำส้มซึ่งถูกเขย่าแรงๆ จนระเบิดแตกกระจายออกเมื่อเห็นสองหนุ่มสาวที่ยืนเคียงข้างกันอยู่เปลี่ยนสถานะจากการยืนแนบชิดเป็นสวมกอดกัน แล้วคนที่ร่างเล็กกว่าก็เขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อย ส่วนร่างใหญ่กว่าก็โน้มใบหน้าลงมาแล้วประกบจุมพิต
แปลบ...ใจเหมือนจะขาดรอน ด้วยคมมีดร้อนผ่าวที่มันกรีดลงไปบนหัวใจที่กำลังเต้นให้มันแทบจะหยุดทำหน้าที่ ในทรวงเต็มไปด้วยเปลวไฟร้อนผ่าวที่มันกำลังเผาไหม้หัวใจให้แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ทำไมมันถึงได้เจ็บถึงเพียงนี้ น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นคลอเบ้าอย่างหักห้ามเอาไว้ไม่ได้
“คุณผึ้ง คะ...คุณไม่เป็นอะไรนะคะ” น้อยถามนายสาวที่ตอนนี้ร่างกายเล็กบอบบางซวนเซไปยืนอิงประตูรั้วที่สร้างด้วยอิฐสีสวยและเหล็กแหลมซึ่งถูกแดดช่วงกลางวันเผาจนร้อนระอุ ผิวกายสีขาวอมชมพูกลายเป็นสีแดงเหมือนถูกเผาไปในทันควัน แต่สิ่งเหล่านั้นก็ยังเจ็บสู้ที่หัวใจไม่ได้
“มะ...ไม่เป็นอะไรน้อย ฉันไม่เป็นไร” มณีมณฑ์รีบตอบกลับ มือเล็กยกขึ้นโบกเบาๆ พร้อมยกขึ้นซับหยาดเหงื่อที่มันผุดขึ้นเต็มวงหน้าซึ่งตอนนี้แดงปลั่ง ลมหายใจก็หอบแรง ขาเรียวยาวสั่นเทาจนแทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ แต่สาวน้อยร่างบอบบางเหมือนจะปลิดปลิวไปตามกระแสลมแรงก็ไม่ยอมแพ้ เลือกที่จะก้าวไปยืนกางมือดักหน้ารถปอร์เช่สีบรอนด์เงินซึ่งวิ่งฉิวออกมาอย่างเร็วรี่จนเกือบที่จะเบรกไม่ทัน
“เป็นบ้าอะไรไม่เคยตายหรือไง ถึงได้มายืนขวางรถนะ” เมื่อลงจากรถได้ศรวัณสบถเสียงเขียวใส่หน้าแม่สาวน้อยร่างบอบบางเหมือนกับเด็กนักเรียนมัธยมด้วยเขาจำไม่ได้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใคร และกล้าดียังไงถึงเกือบจะทำให้เขาเป็นฆาตกรตั้งแต่เพิ่งเหยียบย่างกลับเข้าบ้านมา
“สองคะ ใจเย็นคะ น้องเขาคงไม่ตั้งใจ”
นิศามณีที่ก้าวลงมายืนเคียงข้างคนรักปลอบประโลมน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยน มือเล็กเรียวยื่นไปลูบแขนแข็งแกร่งอย่างต้องการให้ระงับสติอารมณ์เอาไว้ พร้อมส่งรอยยิ้มหวานๆ ไปให้กับสาวน้อยร่างเล็กบางที่ยืนหน้าตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด เคียดแค้น
 ริมฝีปากอวบอิ่มขบเม้มจนแบนราบเรียบแล้วก็ให้แปลกใจเป็นอย่างมาก ด้วยจำได้ว่าไม่เคยเจอกับสาวน้อยคนนี้มาก่อนเลยในชีวิต เพราะตั้งแต่เล็กแต่น้อยจวบจนอายุยี่สิบกว่าปีมานี้ใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนเป็นซะส่วนใหญ่ น้อยครั้งมากที่จะได้กลับมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องยังประเทศไทย แต่กลับรับรู้ถึงความจงเกลียดจงชัง อิจฉาริษยาและโกรธแค้นที่แผ่กระจายออกมา
มันเป็นเพราะอะไรกัน?
นัยน์ตาที่ได้สบด้วยนั้นเมื่อยามมองมาที่เธอก็เปรียบเสมือนคมมีดที่จะคอยทิ่มแทงไปทั่วทั้งร่างกายให้เละไปทั้งตัว แต่เมื่อมองไปยังศรวัณกลับเต็มไปด้วยประกายแห่งความรักใคร่ เว้าวอนและตัดพ้อต่อว่า ใจสาวสะดุดเล็กน้อยกับความหมายจากดวงตากลมโตเหมือนกับตากวางที่สื่อให้เห็น
เพราะเหตุนี้เองใช่ไหม เด็กคนนี้ถึงได้มองเหมือนกับว่าเธอเป็นศัตรู...เพราะศรวัณนี่เอง
ความหวงแหนเกาะและหวาดกลัวแล่นพล่านเกาะกุมหัวใจของนิศามณี เพราะแม้ศรวัณจะตกลงปลงใจจะหมั้นหมายกับเธอแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มยังเป็นคนเจ้าเสน่ห์ที่พร้อมจะโปรยเสน่ห์ให้กับสาวน้อยสาวใหญ่ที่ต่างหลงใหลในรูปลักษณ์อันหล่อเหลาเพียงแค่ได้เห็น และตกหลุมรักปากที่หวานเหมือนเคลือบน้ำตาลนั้นอยู่เสมอ จนบ้างครั้งเธอก็ท้อแท้และเกือบจะปล่อยมือจากชายหนุ่มไปจากชีวิต แต่พอมาคิดถึงวันที่ไม่มีเขาเคียงข้างกายแล้วหัวใจมันเหมือนกับจะแตกดับ ร่างกายหมดเรี่ยวแรงเหมือนกับมีเพียงแค่ร่างแต่ไร้ซึ่งชีวิตและจิตใจ
“จะให้ผมใจเย็นได้ยังไงกันละมุก ดูซิขาดว่าแล้วยังจะมาทำหน้าเป็นใส่ผมเสียอีก เด็กบ้าอะไรนี่ไม่เคยพบเคยเจอจริงๆ ”
ศรวัณหันไปพูดกับแฟนสาวอย่างหงุดหงิดและรำคาญใจ มือใหญ่ยกขึ้นปาดเหงื่อที่มันผุดขึ้นเต็มวงหน้าอย่างรวดเร็ว อากาศเมืองไทยร้อนจริงๆ จนเขาแทบไม่อยากจะออกจากบ้านเลย แต่ในเมื่อมันจำเป็นจะต้องไปส่งคนรักที่ต้องไปอาศัยบ้านญาติ ทั้งที่เขาเองนะไม่ชอบใจเลย
เพราะเขาทั้งหวงและห่วงไม่อยากให้คนรักไปนอนอ้างค้างแรมที่อื่น มันไม่ค่อยจะไว้ใจคนที่หญิงสาวต้องไปอยู่ร่วมด้วยและไม่สบายใจที่ต้องให้คนรักคลาดสายตา นิศามณีเป็นสาวสวยร่างอวบที่ยั่วความปรารถนาชายหนุ่มทุกคนเพียงแค่เดินผ่าน
ตัวเขาเองก็ตกหลุมรักหญิงสาวตั้งแต่แรกได้เห็นร่างกายที่แม้จะยังมีเสื้อผ้าอยู่ครบ แต่ก็ทำให้ความต้องการลุกโชติช่วงจนต้องตามจีบเป็นหลายเดือนกว่าที่หญิงสาวจะตกลงปรงใจยอมคบหาเป็นแฟนดูใจกันอีกเป็นปีหญิงสาวถึงยอมตกลงหมั้นกัน
“พี่สอง!!!” มณีมณฑ์ร้องเรียกคนที่เธอมอบใจให้ตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาวอย่างเสียใจจนรู้สึกเหมือนกับหัวใจดวงน้อยจะแหลกสลายไปในพริบตา ร่างเล็กเซไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง น้ำตาอุ่นร้อนที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้เมื่อแรกได้เห็นคนที่รักกอดคนอื่นไหลอาบสองแก้ม
“คุณผึ้งเป็นยังไงบ้างคะ กลับบ้านก่อนดีไหม” แน่งน้อยเอ่ยถามนายสาวสุดรักด้วยความเป็นกังวล เพราะกลัวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะนำพาเอามณีมณฑ์ต้องย้ายตัวเองเข้าไปนอนโรงพยาบาลอีก
“ไม่เป็นไรพี่น้อย ผึ้งไม่เป็นไร” มณีมณฑ์ตอบกลับคนรับใช้เสียงเบาหวิวจนแทบจะไม่มีน้ำเสียงหลุดรอดออกจากลำคอ มือเล็กยื่นไปยันร่างกลมเหมือนขนุนพยายามพาตัวเองให้ยืนทรงตัวอย่างสง่างามเหมือนกับผู้หญิงที่ยืนเคียงข้างศรวัณอย่างอิจฉาริษยา
ตอนที่เห็นไกลๆ หน้าตายังไม่ชัดเจนก็ให้อิจฉาเป็นล้นพ้นที่หญิงสาวได้ยืนเคียงข้างคนศรวัณหนุ่มในดวงใจของเธอ แล้วเมื่อได้เห็นใกล้ๆ ชัดเจนทั้งสองตาความอิจฉาก็แล่นพล่านทั่วร่างกาย วงหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มประกอบด้วยดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอน จมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อรับกับผิวขาวอมชมพู อีกทั้ง รูปกายสูงโปร่ง อกเอวสะโพกที่เหมาะเจาะรับกันทุกสัดส่วน ขนาดเธอเป็นผู้หญิงนะยังอดที่จะมองอย่างตกตะลึงและชื่นชมไมได้ แล้วผู้ชายละมีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ
 “พี่สองจำผึ้งไม่ได้หรือคะ” มณีมณฑ์เอ่ยถามเสียงเบาหวิว กวาดไล่ดวงตาไปตามวงหน้าคมหวานด้วยความผิดหวัง อุตส่าห์แต่งกายด้วยชุดใหม่ที่คิดว่าจะน่ารักน่าใคร่ เรียกความสนใจจากชายหนุ่มตั้งแต่แรกเห็น แต่กลับไม่ใช่เลย เพราะเขาไม่แม้แต่จะปรายสายตามามองด้วยซ้ำไป มันเจ็บที่ใจจนแทบจะขาดรอน
“ใครหรือคะสอง” นิศามณีเอ่ยถามสำทับ เพ่งพิศมองแม่สาวร่างเล็กอย่างไม่ชอบใจเป็นเท่าทวีคูณกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ได้ยล รูปหน้าปากนิดจมูกหน่อยที่รับกันอย่างเหมาะเจาะ รูปกายเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมน่าให้ความปกป้องคุ้มครองดูแล ผิดกับเธอที่ถึงแม้จะมีรูปร่างสะโอดสะองค์ แต่ถ้าได้คบกันไปจริงๆ จะได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งและเข้มแข็ง สามารถก้าวไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ชาย
“ไม่รู้ซิ ไม่แน่ใจ จำไม่ได้เหมือนกัน” ศรวัณตอบอย่างไม่คิดจะสนใจหาคำตอบ สำหรับเขาในตอนนี้มีเพียงนิสามณีคนเดียวเท่านั้น
คำตอบของศรวัณยิ่งเป็นเหมือนกับน้ำกรดที่มันค่อยๆ ซึมเข้าไปกัดกร่อนหัวใจที่กำลังเต้นอยู่อย่างอ่อนล้าให้แทบจะหมดสิ้นลมอยู่ตรงนั้น วงหน้าขาวซีดเผือดผุดหยดน้ำเล็กๆ ขึ้นมาจนเต็มขยับ เรือนกายเย็นเฉียบเหมือนกับมีน้ำแข็งขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่
“ผมว่าเรารีบไปกันเถอะมุก ร้อนจะตายชัก เดี๋ยวผิวคุณจะเสีย ดำคล้ำไม่สวย” ชายหนุ่มหันไปกระซิบเสียงหวานที่ใบหูนุ่ม “ไม่นุ่มมือยามที่เรากำลัง...”
“บ้า...” มือเล็กยกขึ้นทุบบนอกกว้างของว่าที่คู่หมั้นอย่างกระดากอายเบาๆ วงหน้าสวยตวัดส่งค้อนคนพูดวงโต “พูดจาอะไรไม่รู้น่าเกลียดที่สุดเลย สองก็รู้ว่าเรานะเป็นเพียงแค่คู่หมั้นเท่านั้นเองนะคะ” วงหน้าสวยแดงปลั่งสะบัดน้อยๆ พร้อมประกายหวานฉ่ำเชื่อมในแววตา ปลายนิ้วยาวเรียวยกขึ้นจับปลายคางแข็งแกร่งเบาๆ
“อย่างอื่นนะ...ไว้รอหลังแต่งงานนะคะที่รัก” หญิงสาวตอบกลับเสียงนุ่มหวาน แต่ปลายตาไปมองแม่สาวร่างเล็กพร้อมด้วยรอยยิ้มหยามหยัน
เกลียด...เกลียวผู้หญิงตรงหน้าเหลือเกิน จนอยากจะมีมีดด้ามใหญ่ๆ และคมกริบสับใบหน้าที่กำลังเปื้อนยิ้มนั้นอยู่ให้เละเป็นหมูบะช่อเหลือเกิน สองมือเล็กกำหมัดไว้จนแน่น กรามหนาขบกัดจนแก้มนูน ประกายในดวงตาแข็งกร้าวและดุร้าย แต่ต้องรีบสลัดความรู้สึกอื่นๆ ทิ้งไปเมื่อหันไปเห็นศรวัณกำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวซิคะพี่สอง” มณีมณฑ์วิ่งถลาเข้าไปดึงแขนใหญ่ของศรวัณไว้อย่างเร็ว อย่างยอมไม่ได้ถ้าหากว่าไม่ได้คุยกับชายหนุ่มให้รู้เรื่อง คืนนี้ทั้งคืนเธอคงนอนไม่หลับส่วนหนึ่งเพราะถูกหมางเมินจากคนตรงหน้า และอีกส่วนก็เพราะผู้หญิงที่ยืนอิงแอบแนบชิด
 “พี่สองจำน้องผึ้ง ลูกแม่มณีวรรณ เด็กคนที่พี่สองคอยดูแล พาขึ้นขี่หลัง คอยวิ่งไล่จับกันตอนยังเป็นเด็กไงคะ” หญิงสาวทวงคำพูดที่ชายหนุ่มเคยพูดเอาไว้ก่อนจากกันด้วยน้ำเสียงสั่นเทา น้ำตาอาบนองหน้าแต่ก็ไม่คิดที่จะใช้ปลายนิ้วเล็กๆ ยกขึ้นมากดซับ ยังเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและสั่นเครือ
“เด็กขี้โรคที่อยู่ข้างบ้านพี่สองไงคะ” มณีมณฑ์ถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเทา สองมือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม “ไหนพี่สองบอกว่าจะไม่ลืมน้องคนนี้ไงคะ”

3 ความคิดเห็น:

  1. ถ้าพี่สองเป็นพระเอก ก็มีแววใจร้าย และหลายใจหรือเปล่าค่ะ ไม่อยากเลย

    ตอบลบ
  2. แง่ง แง่ง พีสองใจร้าย

    ตอบลบ