หน้าเว็บ

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

เสน่ห์ลวงบ่วงมายา ตอนที่ 1 แรกเจอ


น้องช่อม่วง ราชาวดี

บทที่ 1
แรกเจอ
“พี่สีดา จะ...จริงหรือคะ พี่พูดจริงๆ หรือคะ?” ราชาวดีเอ่ยถามสีดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ ละมือจากการเช็ดถูกระจกร้านหันมาถามเจ้าของร้านที่เธอรักเสมือนว่าอีกฝ่ายเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เธอให้ความรักและเคารพอย่างตื่นเต้นและดีใจที่จะได้ไปทำงานพิเศษที่โรงแรมซึ่งจะทำให้เธอได้เงินเก็บสะสมอีกก้อน แล้วความหวังที่จะทำในสิ่งต้องการก็อยู่ไม่ไกลเอื้อมมือคว้าแล้ว
ความจริงพี่สีดาเคยฝากงานที่โรงแรมแห่งนั้นให้เธอ แต่ด้วยว่าไม่ใช่ช่วงหน้าทัวร์ ทางโรงแรมจึงยังไม่มีนโยบายที่จะรับคนทำงานเพิ่ม สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอได้ไปทำงานที่นี่เพราะทางโรงแรมจะดูความสามารถของเธอว่าถ้าหากรับเข้าไปทำงานแล้วจะไม่ทำให้ทางโรงแรมต้องเสียชื่อเสียงและอีกประการหนึ่งก็คือต้องการผูกใจนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นจึงได้คิดระบบการจ้างพนักงานพิเศษขึ้นเป็นครั้งคราว มันจึงเป็นความโชคดีของเธอที่มีพื้นความรู้ทั้งการอ่านและการพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีทำให้ได้รับโอกาสนั้นบ่อยครั้ง
วงหน้ารูปไข่เปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดสาวแย้มยิ้มจนเห็นไรฟันขาวสะอาดเรียงกันสวยงามและยังได้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ในปาก ประกายในดวงตากลมโตใสแจ๋วเหมือนกับลูกแก้วยามสะท้อนแสงไฟด้วยความดีใจจนเนื้อเต้น จนอยากจะโผเข้าไปกอดอีกฝ่ายแต่ว่าตอนนี้ร่างกายเต็มไปด้วยเศษสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่ตามลำตัว จึงกลัวจะไปทำให้อีกฝ่ายคันและระคายเคือง
“จริงซิจ๊ะ พี่เพิ่งจะวางสายจากเพื่อนเมื่อกี้เอง” สีดายิ้มรับและพยักหน้าซ้ำอีกครั้งอย่างรักใคร่ระคนเอ็นดูอีกฝ่าย เธอกับราชาวดีไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ทว่าแปลกนักที่เธอรักและสงสารเด็กคนนี้เหมือนกับคนในครอบครัว คอยดูแลเอาใจใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
“ช่อม่วง”
“ค่ะ พี่สีดา” ราชาวดีขานรับเสียงหวานใส มองตอบสีดาทันทีเมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อเล่นเธอเต็มๆ ที่น้อยครั้งจะเรียกขาล แสดงว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญให้ต้องวางเรื่องอื่นๆ และสนใจที่จะฟัง “มีอะไรคะพี่สีดา” วงหน้าขาวนวลปลั่งเอียงเล็กน้อย ดวงตามองที่ร่างสีดาอย่างแน่วนิ่งตั้งใจฟังเรื่องที่อีกฝ่ายจะพูด
“งานวันนี้สำคัญมากนะ คนที่มาเป็นกลุ่มลูกค้าประจำก็จริง แต่หนึ่งในนั้นก็เป็นนายใหญ่” สีดาละเว้นที่จะไม่บอกราชาวดีว่าอีกฝ่ายยังเป็นหนุ่มรูปงาม แต่ว่าน่ากลัวเพราะเป็นถึงหัวหน้าขององค์กรทำงานผิดกฎหมายกลุ่มหนึ่งของญี่ปุ่น
“ทางเพื่อนพี่เขาบอกว่าให้เราดูแลเอาใจใส่อย่างให้ขาดตกบกพร่อง เพราะถ้าหากเกิดปัญหาหรือว่าเขาไม่พอใจขึ้นมาจะทำให้โรงแรมสูญเสียลูกค้าสำคัญไปได้แล้วที่สำคัญ” ไม่อยากพูดแต่ถ้าไม่เตือนให้ราชาวดีระวังตัวไว้บ้างก็กลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้น
“ระวังตัวด้วยนะช่อ งานนี้ไม่ได้ง่ายอย่างงานอื่นที่เราทำมา”
อดที่จะกังวลและขลาดกลัวไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดจากปากสีดา เมื่อราชาวดีกำลังครุ่นคิดมันจะสื่อออกมาทางแววตา ก่อนศีรษะทุยจะผงกรับทัน “ได้ค่ะพี่สีดา ช่อม่วงจะทำให้ดีที่สุด ไม่ให้พี่สีดาและเพื่อนผิดหวังค่ะ”
คำตอบรับของราชาวดีทำให้สีดาคลายความกังวลใจไปได้บ้างแต่ก็เป็นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะปัญหาใหญ่มันอยู่ที่โรงแรมของเพื่อน ที่ไม่รู้ว่าราชาวดีจะทำได้อย่างที่พูดหรือไม่หากว่าจะต้องเจอกับลูกค้าที่เอาแต่ใจและหาเรื่องหาราว ก็ได้แต่หวังว่าราชาวดีจะระงับใจได้เหมือนๆ ทุกครั้งแล้วกัน การทำงานที่นั่นไม่ใช่ไม่เคยมีปัญหาหลายครั้งที่ราชาวดีมาพ้อว่ากับเธอ
“งานหนักช่อไม่ท้อนะคะพี่สีดา ช่อสู้ได้เสมอ พี่สีดาก็รู้ แต่กับปากเพื่อนที่นอกจากจะไม่สร้างสรรค์แล้วยังจะบั่นทอนและไม่ให้กำลังใจกันอีก ไหนจะลูกค้าที่บางคนไม่ได้เห็นเราเป็นเพียงแค่พนักงานแต่กลับจะพาเราขึ้นเตียงซะงั้น คิดๆ แล้วก็เศร้าเหมือนกันนะคะ”
แต่สุดท้ายเมื่องานมาและเงินก็ตามมาคนที่บ่นพึมพำว่าไม่แน่ใจว่าจะยังทำต่อหรือไม่กลับตอบรับกลับไปด้วยสีหน้าท่าทางเริงรื่น ดวงตาเปล่งประกายวาววับเหมือนกับมีดวงดาวบนท้องฟ้า อย่างไม่หวั่นเกรงอุปสรรคหรือปัญหาใดๆ ทุ่มเททั้งกายและใจทำงานอย่างเต็มที่
“ถึงจะต้องเข้างานทุ่มหนึ่ง แต่เพื่อนพี่บอกว่าให้ไปถึงโรงแรมก่อนหกโมงนะ ทันไหม”
“เอ๊ะ!! ทำไมละคะ”
ศีรษะทุยเอียงอีกรอบและเอ่ยถามอย่างแปลกใจ พวงแก้มอิ่มเต็มป่องออกเล็กน้อย ก็นะเธอไม่เคยไปสายแล้วยังจะไปก่อนเวลาทำงานก็นาน แต่เพื่อนพี่สีดากลับสั่งมาแบบนี้ก็ให้เกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละถามพี่สีดาไปก็ไม่รู้ความอยู่ดี ถ้าอยากรู้ก็ต้องไปหาคนสั่งให้เร็วที่สุดต่างหากละ ไหล่กว้างเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะรู้ตัวเมื่อเห็นสายตาตำหนของพี่สีดาที่มองมา
“แหะๆ ช่อขอโทษคะพี่สีดา จะไม่ทำแล้วจริงๆ สาบานคะ” แต่ปลายนิ้วชี้และกลางกลับไขว้ไว้ด้านหลัง ถ้าสิ่งไหนไม่มั่นใจว่าจะทำได้เธอไม่กล้ารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะหรอก ดังเช่นเรื่องนี้ที่มันต้องมีช่วงเวลาที่คนเราพลั้งเผลอกันบ้าง อีกมือยกขึ้นชูสองนิ้วที่ข้างขมับ
“พี่สีดาไม่ต้องห่วงนะคะ ฝีมืออย่างช่อ ทันค่ะ”
หญิงสาวยิ้มสำทับแต่เพียงแค่เหลือบสายตาไปมองนาฬิกาเรือนโตที่แขวนไว้ข้างผนังห้องแล้วต้องเบิกตากว้าง...นัดก่อนหกโมง ตายแล้วนี่มันใกล้เกือบจะห้าโมงแล้วนะ จะทันไหมนี่...บ้านเธออยู่ก็ไกลจากร้านก็มากโขอยู่ แถมยังจะอยู่คนละมุมเมืองกับโรงแรมที่จะต้องไปทำงานด้วย
วงหน้าเลิกลักจากสาวน้อยวัยแรกรุ่นเหมือนดอกไม้ที่เริ่มพลิบาน แวบหนึ่งที่สีดาเป็นกังวลว่าการไปทำงานในค่ำคืนนี้จะทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นอันตราย แต่ก็รู้ดีว่างานพิเศษเหล่านี้เป็นสิ่งที่ราชาวดีรอเสมอ งานพิเศษที่เงินตอบแทนไม่ได้มากกมายสักเท่าไหร่ แต่ถ้าได้บ่อยครั้งบวกกับเงินทิปที่จะได้รับเก็บมาสะสมอีกไม่นานก็จะได้เป็นตั๋วเครื่องบินและค่าเดินทางพอจะไปตามหาพี่สาวที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน
ราชาวดียิ้มจนแก้มปริ ในดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับ หัวใจเต้นรัวเร็วจนดังก้องในทรวงจนต้องรีบยกมือจับมันเอาไว้อย่างหวาดกลัวว่ามันจะหล่นออกมาภายนอก การรอยคอยอันยาวนานนับสิบปีกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว เพียงแค่เธออดทนทำงานเก็บเงินอีกไม่ถึงเท่าไหร่สิ่งที่ฝันไว้ก็จะเป็นจริงแล้ว
พี่พรรอช่อหน่อยนะคะ ช่อจะไปตามหาพี่ให้เจอ แล้วเรากลับมาอยู่ด้วยกันในดวงตากลมโตอมโศกเล็กน้อยทอแสงเป็นประกายผ่านม่านน้ำแพหนาที่เอ่อล้นคลอเบ้า
ทุกวันนี้เธออยู่ด้วยความหวัง...หวังที่มันหล่อหลอมหัวใจดวงน้อยให้เข้มแข็ง ให้กลับฟื้นคืนมีชีวิตชวา รอคอยด้วยความหวังว่าจะได้เจอกับพี่สาวที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยมานานนับสิบปี ไม่ใช่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่คือการรอยคอยที่ความหวังจะริบหรี่แทบมองไม่เห็นอนาคต แต่ก็ยังคงรอยคอยด้วยใจจดจ่อและความสุขกับฝันที่วาดเอาไว้ด้วยความหวังว่าจะได้เจอกับคนที่รัก
วันหนึ่งข้างหน้าที่จะมาถึง เธอจะได้อยู่กับพี่สาวอย่างมีความสุขเหมือนกับเมื่อก่อนนั้น ได้นอนฟังเสียงนุ่มหวานเย็นใจที่เอื้อนเอ่ยเล่านิทานก่อนนอน  แค่ได้ฝันเธอก็มีความสุขแล้วและเพียรพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ฝันนั้นเป็นจริง
“ช่อไปก่อนนะคะพี่สีดา” 
ร่างเล็กถลาไปด้านหน้าพร้อมมือเล็กเรียวยกขึ้นโบกลาเบาๆ แต่เพราะความที่ตื่นเต้นจนลืมซึ่งหน้าที่ประจำที่ต้องทำก่อนเลิกงานคือการเก็บเอาเศษผงเศษหญ้าที่ตัดออกจากลูกค้าไปทิ้ง ร่างอรชนอ้อนแอ้นถลาไปคว้ากระเป๋าสะพายที่เก็บไว้ในตู้เล็กใกล้กับประตูห้องครัวแต่เผลอไปเหยียบเอาที่ตักผงซึ่งตอนนี้มีเศษเส้นผมและข้าวของซึ่งจะต้องนำเอาไปทิ้งที่ด้านหลังร้านหกกระจัดกระจาย
“ว้าย!!! ตายแล้ว...แหะๆ ขอโทษคะพี่สีดา เดี๋ยวช่อจะรีบเก็บและนำไปทิ้งให้เรียบร้อยคะ” ราชาวดีหัวเราะแหะๆ เมื่อรู้ว่าความซุ่มซ่ามของตัวเองทำให้ข้าวของที่เก็บเรียบร้อยนั้นกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง พร้อมกับสีหน้าเบื่อหน่ายในความซุ่มซ่ามของตัวเอง
“ไม่ต้องรีบก็ได้ช่อ ถ้ากลัวว่าไม่ทัน เดี๋ยวพี่ไปส่งให้ก็ได้” เห็นราชาวดียิ้มแย้มอย่างมีความสุขก็ทำให้เธอมีความสุขไปด้วย รอยยิ้มของหญิงสาวเหมือนกับได้เปิดโลกที่มืดสนิทอยู่ให้สว่างสดใสด้วยรอยยิ้มจากดวงตากลมโตใสแจ๋วเป็นประกายสดชื่นแจ่มใสจนอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“ขอโทษคะพี่สีดา ช่อรีบไปหน่อย” เหมือนเสียงนุ่มอ่อนโยนจะดึงสติราชาวดีกลับมาได้แม้ไม่มาก แต่ก็ทำให้เธอนึกถึงหน้าที่จองตนที่จะต้องกระทำ วงหน้าสวยยิ้มแย้มทอแสงเป็นประกายเหมือนกับผีเสือตัวน้อยที่กำลังโลดแล่นดูดดื่มน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ท่ามกลางแสงแห่งพระอาทิตย์ยามเช้า
“ไม่เป็นไรคะพี่สีดา ขอบคุณมาก แต่ไม่เป็นไรช่อไปเองดีกว่า แค่นี้ก็รบกวนพี่สีดามาแล้ว อีกอย่างเดี๋ยวพี่ก็ต้องไปทำผมและทำเล็บให้กับคุณหญิงอรุณวดีไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยไม่อยากรบกวนผู้เป็นนายจ้างที่รักและเห็นเธอเป็นเสมือนคนในครอบครัวมากไปกว่านี้แล้ว
ตั้งแต่พี่สาวหายตัวไป ก็ได้สีดานี่แหละที่เป็นคนดูแลมาตลอด จนไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะชดใช้หนี้บุญคุณหมดหรือเปล่า เลยได้แต่ทำตัวให้ดีไม่เป็นปัญหาให้อีกฝ่ายต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงก็ทัน” มือเรียวชูสองนิ้วพร้อมรอยยิ้มร่าเริงสดใส ไขว่คว้าด้ามที่ตักผงและไม้กวาดเก็บกวาดข้าวของด้วยความพยายามข่มใจที่มันตื่นต้นยินดีให้มันเย็นลง แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ยังก็ยังมีเสียงงำเพลงในลำคอให้อีกฝ่ายได้ยินอยู่ดี
สีดาอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ ราชาวดีอยู่กับเธอมาตั้งแต่เป็นเด็กอายุได้ห้าหกขวบ หลังจากเลิกเรียนแล้วจะตามติดพี่สาวคือยุพาพรมานั่งเล่นจนบางครั้งเมื่อมีงานหนักๆ ถึงกับกินนอนที่บ้านนี้ แทบจะกลายเป็นบ้านของตัวเอง โตขึ้นหน่อยก็หัดเรียนรู้ที่จะช่วยเหลืองาน กลีบปากสีชมพูสดขยับเอื้อนเอ่ยซักถามอยู่ตลอดเวลา จดจำทุกอย่างราวกับมีแมมโมรี่ช่วยบันทึกข้อมูลเอาไว้จะมีหลังจากที่ยุพาพรผู้เป็นพี่สาวหายไปนี่แหละราชาวดีถึงได้กลายเป็นคนละคน
จากเด็กน้อยความน่ารักบวกกับความมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีทำให้เป็นที่ถูกตาต้องใจของเหล่าลูกค้าที่มาใช้บริการ แม่หนูราชาวดีเปลี่ยนแปลงไปจากเด็กช่างพูดกลายเป็นเด็กเก็บตัว เหงาเศร้า ดวงตากลมโตแดงแดงก่ำฉ่ำน้ำและไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย แม้จะพยายามสักเท่าไหร่ก็ยังทำให้เด็กน้อยที่แสนจะน่ารักกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ จนเธอแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะความที่เด็กน้อยผู้แสนจะน่ารักจมอยู่ในกอง
แต่ด้วยเพราะยุพาพรเป็นคนไขว่เรียนรู้ มีพื้นความรู้ภาษาญี่ปุ่นเลยทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ยุพาพรมีเพื่อนชวนไปทำงานพิเศษเป็นพนักงานต้อนรับนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ด้วยบุคลิกหน้าตาสวยหวาน ดวงตากลมโตเป็นประกายอมโศกนิดๆ บวกกับเสียงหวานนุ่ม ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อที่ขยับจำนรรจาเป็นที่ถูกใจของทุกๆ คน ทำให้ทางร้านอาหารเรียกใช้บริการบ่อยครั้ง
แล้ววันหนึ่งยุพาพรก็บอกฝากฝังน้องสาวไว้กับเธอส่วนตัวเองก็ไปทำงานที่ญี่ปุ่น ในตอนแรกก็มีข่าวคราวและเงินทองส่งมาอยู่ตลอดไม่ขาดสาย แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ข่าวคราวที่เคยมีก็ขาดหาย เงินทองก็เช่นกัน
จวบจนเวลาผ่านไปพอเริ่มวัยแรกรุ่นราชาวดีก็กลับมาร่าเริงแจ่มใส แต่ก็ยังมีแอบเหงาเศร้าอยู่บ่อยครั้ง มีความรับผิดชอบและขยันการงานเพื่อสะสมเก็บเงินที่ได้ไว้เป็นทุน พอจบมัธยมหกก็เลือกที่จะไม่เรียนต่อแต่เลือกที่จะทำงานเก็บเงินแทน ตลอดเวลาเกือบขวบปีที่ผ่านมา แม้จะมุมานะขยันทำทั้งงานนอกงานในเท่าไหร่ แต่เงินที่เก็บไว้ก็ยังไม่เพียงพอให้เธอเดินทางไปตามหาพี่สาวที่ต่างแดนอยู่ดีนั่นแหละ
“แล้วจะทันหรือ” ก็ยังอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ หนทางมันก็ไกลอยู่แถมรถยังจะติดอีก
“ช่อสามารถค่ะ ยังไงก็ทัน” ราชาวดีตอบกลับด้วยน้ำเสียงรื่นเริงให้อีกฝ่ายคลายความกังวลใจ สาละวนเก็บข้าวของทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางพร้อมคว้ากระเป๋าที่เมื่อครู่วางไว้บนเก้าอี้สำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ และคว้าถุงใส่ขยะติดมือมาด้วย
“ช่อไปก่อนนะคะพี่สีดา ถึงโรงแรมก่อนทำงานจะโทรมาบอก”
“จ๊ะ...แล้วอย่าลืมละ”
ต้องเน้นยำอีกครั้งด้วยรู้ว่าราชาวดีนอกจากจะเป็นคนขี้เกรงใจและพักหลังนี่ค่อนข้างเปลี่ยนเป็นคนขี้ลืมไปเสียสนิทใจ แล้วยังจะพกพาซุ่มซ่ามและสะเพร่าเต็มพิกัดไปด้วย แถมท้ายด้วยอาการป้ำๆ เป๋อๆ เป็นประจำ เลยทำให้เธอเป็นห่วงและกังวลได้เสมอ
ยามที่อีกฝ่ายจะต้องไปทำงานพิเศษที่โรงแรมของเพื่อน กลัวหญิงสาวจะไปทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนและทำให้ราชาวดีนั่นแหละเป็นอันตรายที่สุด แต่เธอก็ห้ามไม่ได้เพราะราชาวดีนะเห็นด้านนอกดูใสซื่อไม่มีพิษสง แต่เธอดื้อเงียบ หูนะฟังแต่จะทำตามหรือไม่ทำตามมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ค่า...” หญิงสาวตอบรับพร้อมโบกมือหย็อยๆ เดินจากไปอย่างสดใสร่าเริง รอยยิ้มไม่ห่างหายจากวงหน้า “เดี๋ยวไปถึงจะรีบโทรมารายงานตัวคะ ไปแล้วนะคะ”

ราชาวดีก้าวลงจากรถแท็กซี่อย่างเร็วรี่จนถลาไปด้านหน้าใบหน้าเกือบจะชนกับกระถางต้นไม้ใหญ่แต่ดีว่าเอามือยันไวได้ทันเลยไม่เจ็บตัวอย่างเช่นเคย ก่อนจะรีบลุกยืนตัวตรงก้าวเดินอย่างเร็วรี่ไปตามทางเดินที่มีเส้นทางสายเล็กๆ ตรงเข้าไปยังห้องแต่งตัว แต่ก่อนจะถึงก็อดไม่ได้ที่จะหยุดยืนและหันหน้ามองดูโรงแรมใหญ่ขนาด 80 ห้อง
วงหน้าสวยแหงนขึ้นมองไล่ไปตามความสูงของอาการ สูดลมหายใจอัดจนเต็มปอด ไม่รู้เป็นยังไงทุกครั้งที่ได้มาเยือนโรงแรมแห่งนี้ เธอจะมีทั้งความตื่นเต้นระคนเป็นสุขเสมอ แต่คราวนี้ความรู้สึกกลับผิดแปลกแตกไป มีทั้งความตื่นตระหนกและเป็นกังวลแปลกๆ ที่ผุดขึ้นในหัวใจ
หรือจะเป็นเพราะว่าเมื่อรับงานครั้งนี้แล้วเงินที่เธอต้องการก็จะเพียงพอที่จะทำอย่างใจต้องการ แม้จะมาทำงานที่นี่ได้เพียงไม่กี่ครั้งและไม่นานด้วย แต่ทว่าความรู้สึกดีๆ ที่ให้ทั้งกับเพื่อนร่วมงานที่ก็ดีบ้างไม่ดีบ้างตามแต่อารมณ์และเจ้านายดีๆ ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอนั้นเกิดความรู้สึกผูกพันจนไม่อยากจะจากไปเลย หรือจะเป็นเพราะว่าเธอกำลังจะต้องจากคนที่รักและหวังดีอย่างสีดา จากบ้านไปยังที่ซึ่งเธอไม่เหลือใครกับความหวังเพียงแค่อย่างเดียว
...หาพี่สาวให้เจอ...
 ฟันขาวสะอาดขบกัดริมฝีปาก ดวงตากลมโตเหลียวมองไปรอบๆ ความสูงใหญ่โออ่าหรูหราของสถานที่ข่มให้เรือนร่างเธอเล็กจิ๋วเหมือนมด อัดสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงเผื่อผ่อนคลายความรู้สึกในหัวใจ แต่ทำอย่างไรก็สลัดความรู้สึกกลัวที่มันเกาะกุมหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนออกไม่ได้
คิดอะไรมากนะช่อม่วง รีบไปทำงานดีกว่า”
ราชาวดีสะลัดความคิดเรื่อยเปื่อยที่แวะเวียนเข้ามาวนเวียนในหัวทิ้งไป หันมาสนใจเรื่องตรงหน้า แต่เพียงเท้าเล็กก้าวย่างไปด้านหลังเท่านั้นเองก็เหมือนกับว่าเธอได้เหยียบย่างไปบนอะไรสักอย่าง เหมือนจะยังไม่แน่ใจหญิงสาวเลยเลยลองทุ่มน้ำหนักลงไปบนสิ่งนั้นอีกนิด จนมั่นใจว่าเธอกำลังเหยียบอยู่บนอะไรจริงๆ นั่นแหละ ไหนจะกลิ่นหอมอ่อนๆ มันเป็นกลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ผู้ชายใช้ อะไรบางอย่างบอกเธอแบบนั้นลอยเข้ามาแตะนาสิกจนต้องสูดรับเอาความหอมเข้าปอดเต็มๆ
กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวเนื้อกายแท้เล็กผสมกับกลิ่นแป้งทำเอาชายหนุ่มที่เจ็บจากการถูกเหยียบถึงกับผ่อนคลายลง สูดดมความหวานจนเต็มปอด แต่ก็รีบสลัดอารมณ์หวามไหวที่เกิดขึ้นทิ้งไป ผู้หญิงสำหรับเขาจะต้องเป็นเพียงแค่เครื่องระบายความใคร่เท่านั้น
“จะยืนเอ้อระเหยอยู่อีกนานไหม หนัก...”
เสียงแหบห้าว ดุแข็งและกระด้าง เย็นยะเยือกเป็นภาษาอังกฤษที่ดังลอยมาเข้าหูยังไม่สู้ความเย็นยะเยือกที่แผ่กระจายรุมล้อมรอบกายจนต้องรีบถลาร่างไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
โอ๊ย...อีกแล้วเราะ เป๋อเหลอ ซุ่มซ่ามจริงๆ ให้ตายเถอะ แล้วจะเอาไงดีละนี่เรา  
มือเล็กยกขึ้นตบทรวงอกที่มีหัวใจซึ่งกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะกระหน่ำจนแทบจะหลุดออกมาให้มันเพลาๆ ลงหน่อยเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเองที่ดันไปทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่น  
โอ๊ย...หยุดเต้นได้แล้ว กำลังทำผิดอยู่นะช่อม่วง
ราชาวดีก่นว่าตัวเองและตอกย้ำหัวใจให้หยุดเต้นรัวกระหน่ำเหมือนกับปืนกลเสียที ทำไมวันนี้เธอถึงควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง แค่ได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟของผู้ชาย หัวใจมันก็เต้นแรงและเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากทรวงแล้ว แปลกมาก...
ไม่ใช่ว่าไม่เคยเข้าใกล้ผู้ชายมาก่อน แต่ทว่ากลิ่นกายของคนที่อยู่เบื้องหลังมันกำลังกระตุ้นอารมณ์ที่มันหลบซุกซ่อนอยู่ในกายให้เผยแย้มออกมาทีละน้อย 
ราชาวดีรู้ดีว่าตอนนี้วงหน้าของเธอคงจะแดงก่ำเหมือนกุ้งถูกต้มสุกเรียบร้อยแล้ว เพราะไอร้อนผ่าวที่มันหมุนวนอยู่ในท้องก่อนจะไหลไปตามกระแสเลือด จุดศูนย์กลางคือพวงแก้มอิ่มเต็มจึงต้องรีบก้มหน้ามองพื้นเพื่อปรับให้หน้านั้นไม่แดงให้อายคน ก่อนจะหันกลับมามองด้านหลังอย่างช้าๆ ไล่สายตาจากส่วนล่างของคนที่ถูกเธอเหยียบเมื่อครู่อย่างช้าๆ รองเท้าหนังสีขาวขัดมันจนวาวแทบจะใช้แทนกระจกเงาได้ที่ตอนนี้มีบางส่วนสกปรกเพราะฝีมือเธอ
ดวงตากลมโตไล่มองขึ้นอย่างช้าๆ อีกเล็กน้อยก็ได้เห็นกางเกงผ้าเนื้อนุ่มสีเดียวกับตัวรองเท้ากำลังปลิวไสวไปตามกระแสลมเย็นๆ ที่มันพัดมาแค่เพียงแวบเดียว ราชาวดีไล่สายตาขึ้นไปอีกเล็กน้อย เสื้อสูทที่ได้เห็นก็ยังเป็นสีขาว
อืม...ผู้ชายคนดูท่าจะชอบสีขาวแฮะ
“จะมองอีกนานไหม” หงุดหงิดเล็กน้อยที่แม่เด็กตัวเล็กซุ่มซ่ามแต่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวนี่ดันให้ความสนใจเสื้อผ้าเขาแทนที่จะเงยขึ้นสบตาด้วยและเอ่ยคำขอโทษให้มันเป็นเรื่องเป็นราว
“ขะ...ขอโทษคะ” เสียงขุ่นเขียวและแข็งกระด้างที่ดังมาทำให้สาวน้อยหลุดคำพูดว่าขอโทษออกไป พร้อมด้วยรอยยิ้มแหยๆ ส่งให้กับคนที่เธอเพิ่งจะทำร้ายไป
“ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณเจ็บตัว...” พร้อยยิ้มปะเหลาะหวานพร้อมดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ อย่างที่คิดว่าจะทำให้คนเจ็บตัวนั้นคลายความโกรธลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย
เค้าโครงหน้ารูปสี่เหลี่ยมดูแข็งกร้าวและกระด้าง คางบุ๋มไปเล็กน้อย ริมฝีปากหนาสีแดงสดมีรอยหยักนิดๆ อยากรู้จังว่าถ้าถูกบดคลึงบนเรียวปากเธอจะเป็นยังไงนะ แล้วถ้าได้สอดแทรกปลายนิ้วไปลากไล้เส้นผมที่ดูท่าจะนุ่มที่มันระต้นคออยู่จะเป็นยังไงนะ
เฮ้ย...!!! นี่ฉันกำลังคิดบ้าอะไรนี่ นะ...นั่นผู้ชายที่เพิ่งเคยเจอนะ ดันคิดเรื่องบ้าๆ ไปเสียได้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากพี่พรกับพี่สีดารู้เข้าคงจะด่าจนหูชาแน่เลย เพี้ยนหนักแล้วเรานิ
หญิงสาวก่นว่าตัวเองในใจเล็กน้อย อยากจะยกมือขึ้นเคาะกะโหลกตัวเองสักทีที่บ้าคิดอะไรไม่เข้าท่า ข่มกลั้นความรู้สึกแปลกๆ ที่มันก่อตัวขึ้นในหัวใจจนทำให้พวงแก้มอิ่มเต็มร้อนผ่าวขึ้นเอาไว้ ค่อยๆ มองอีกฝ่ายอีกครั้ง จมูกโด่งเป็นสัน...
สุดท้ายก็คือดวงตา...
เพียงแค่ได้เห็นดวงตาคมกริบใหญ่โต ล้อมด้วยแพขนตายาวงอน ราชาวดีถึงกับร้องครางในลำคอ...เหมือนเทพบุตรจุติลงมาจากสวรรค์ ไม่เคยเจอใครที่หน้าตาท่าทางน่ามองเช่นนี้มาก่อนเลย รูปร่างหรือก็ผึ่งผายแต่มันก็เปล่งรัศมีของความมีอำนาจบวกกับความน่ากลัว
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ยังทำให้ราชาวดีจับจ้องไม่คลาดเหมือนกับคนที่ถูกสะกดจิต ประกายเซ็กซี่และเว้าวอนเหมือนกับอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำวนที่มันกำลังดูดร่างกายเธอให้ถลาเข้าหา เหมือนกับถูกมนตร์สะกดให้ตะลึงงันกับความหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า
เทพบุตรตกมาจากสวรรค์
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง กลีบปากอวบอิ่มอ้ากว้างด้วยความตกตะลึงพร้อมกับความรู้สึกที่พยายามข่มกลั้นเอาไว้ภายในก็ผุดขึ้นมาอีกระรอก เหมือนกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยมือที่มองไม่เห็นจนไม่สามารถขยับร่างกายได้ หัวใจดวงน้อยเต้นแรงและรัวเร็วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้ราชาวดีรู้สึกเหมือนกับว่าตอนนี้รอบกายเต็มไปด้วยดอกไม้ที่มันกำลังชูช่อบานอวดแสงพระอาทิตย์ยามเช้า เสียงดนตรีหวานนุ่มดังแผ่วพลิ้วมาตามกระแสลมที่พัดแตะต้องเรือนกาย ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นภาพที่เธอวางมือเล็กทาบไปบนมือใหญ่ แขนแข็งแกร่งโอบรัดรอบสะเอวคอดกิ่ว พวงแก้มอิ่มเต็มทาบไปบนแผงอกกว้างล่ำสัน และสองร่างก็พากันลอยละล่องแผ่วพลิ้วไปตามท่วงทำนองของดนตรีอันหวานนุ่ม
เหมือนล่องลอยอยู่ในความฝัน วงหน้าสวยแย้มยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย แต่พอประสานกับสายตากับอีกฝ่ายที่มีแต่ความเร่าร้อนด้วยประกายไฟร้อนระอุที่โอบรอบกายและตรงเข้าสู่หัวใจอย่างทันควันผสมผสานกับเหนื่อยหน่ายและระอิดระอาใจและที่สำคัญมันเหมือนกับมีแววดูถูกเหยียดหยามปะปนสุมอยู่ด้วย
โอ๊ย...นี่เธอเป็นอะไรกันแน่ ทำไมในสมองถึงได้มีแต่ภาพผู้ชายตรงหน้าบรรจุอยู่เต็ม แถมยังละจากการสบกับสายตาอีกฝ่ายไม่ได้ ในหัวใจก็เต้นแรงและเร็วเหมือนกับปืนกลจนแทบจะหลุดออกมา
ดวงตาคมกริบที่เซ็กซี่เหลือหลายจนหลอมละลายหัวใจดวงน้อยให้ละลายเหมือนกับเทียนไขถูกลนไฟ หล่อ...หล่อมักมาก หล่อสุดๆ พระเอกละครหนังไทยที่เธอเคยชมหล่อๆ ยังเทียบไม่ติดฝุ่นเลยให้ตายซิ แต่แหม...ตาดุไปหน่อยนะ มองแล้วสั่นไปหมดทั้งตัวเลย แต่ราชาวดีก็ยังสามารถหาข้อติได้บ้างไม่หลงไปในความหล่อที่ได้เห็นเสียทั้งหมด
แต่นะเพียงแค่มองเธอยังรู้สึกว่าวงหน้าของตัวเองแดงปลั่งเหมือนผลตำลึงสุกอยู่เลย ราชาวดีบังคับไม่ให้ตัวเองยกสองมือเล็กขึ้นเพื่อตบหน้าตัวเองเรียกสะติคืนมา แต่ถึงจะอย่างนั้นเธอก็ถูกสายตาคมกริบสะกดไว้จนไม่อาจที่จะถอนสายตาจากร่างหนาใหญ่ในชุดสีขาวเหมือนเทพบุตรได้
ผู้ชายคนนี้มีมนตร์อะไรกันแน่ ทำไมเขาถึงได้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าได้เป็นเจ้าหญิงและคนรับใช้ในคราวเดียวกันได้นะ
สายตาของแม่สาวน้อยที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่พ้นวัยมัธยมที่มองมาทำให้เซกิจิโร่ถึงกับสบถเสียงเขียว อุตส่าห์ปั้นหน้าเครียดขรึมและแข็งกระด้างแล้วนะ แต่แม่เด็กนี่ดังยังมองมาตาปรอยเลยให้ตายซิ ชายหนุ่มหงุดหงิดกับรูปหน้าที่พ่อแม่ให้มา มันหล่อเหลาไม่เหมาะสมกับหน้าที่การงานที่เขาทำเลยสักนิด
สองมือใหญ่ยกขึ้นล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กวาดสายตาคมกริบเหมือนกับมีดโกนไล่มองไปตามเรือนกายเล็กที่ดูเหมือนจะซ่อนรูปเมื่ออีกฝ่ายสวมใส่กางเกงยีนรัดรูปจนได้เห็นสัดส่วนเรือนกายที่แม้จะยังเติบโตไม่เต็มที่แต่ก็ทำให้ผู้ชายเกิดอารมณ์ปรารถนาได้ไม่ยากเลย
ร่างเล็กด้วยสัดส่วนเพียงแค่อกเขา วงหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวงอน จมูกโด่งเล็กได้รูปรับกับริมฝีปากรูปกระจับสีชมพู
ดวงตาคมกริบไล่มองลงไปตามลำคอระหง ไหล่กว้าง เสื้อยืดกลางเก่ากลางใหม่รัดรูปกายจนได้เห็นทรวงสล้างอวบอิ่มขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ไหวกระเพื่อมตามแรงหายใจทำเอาเขาอยากที่จะจับต้องให้มันผลิบานอยู่ในอุ้งมือใหญ่ ยามที่ปลายนิ้วป่ายปัดไปบน...
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะเล็กน้อยไล่ความคิดที่จะจับผู้หญิงตรงหน้า โยนไปบนเตียงนอนนุ่มๆ ฉีกทึ้งเสื้อผ้าออกและ...ดวงตาคมกริบเปล่งประกายวาววับเหมือนดวงตาสัตว์ร้ายหิวกระหายเหยื่ออันโอชะ กรามหนาขบกัดบดเบียดจนวงหน้าคร้ามแกร่งนูนขึ้น
ปลายลิ้นเล็กๆ ยื่นออกมาลากไล้บนกลีบปากบางสีชมพูระเรื่อ ทำเอาเซกิจิโร่ถึงกับร้องคำรามลั่นในลำคอ ให้ตายซิ เขาเป็นบ้าอะไรไปนี่ ทำไมถึงได้มีอารมณ์กับเด็กไม่รู้จักโตตรงหน้าได้ ชายหนุ่มสบถเสียงขุ่น เรือนกายใหญ่เริ่มสำแดงฤทธิ์เดชราวกับไม่ได้พบเจอและมีอะไรกับผู้หญิงมาเป็นเวลานาน ทั้งที่ความจริงแล้วเขาก็เพิ่งจะผละมาจากแม่สาวต่างชาติร่างอวบอัดเต็มไม้เต็มมือที่เขาเพิ่งจะลุกจากมาได้
แม้จะแปลกที่มีอาการทางกาย แต่เซกิจิโร่ก็ข่มมันเอาไว้ ปลดปล่อยความต้องการทางกายนะทำเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะผู้หญิงสำหรับเขาหาง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก เพียงแค่กระดิกนิ้วนิดเดียวก็วิ่งมาสยบแทบเท้า หากทำได้สาวๆ พวกนั้นแทบจะอ้อนวอนขอให้เขาเรียกหาด้วยซ้ำ
รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมและหยามหยันผุดขึ้นบนวงหน้าคร้ามแกร่ง แค่มีเงิน มีอำนาจ ไม่ว่าปรารถนาสิ่งใดก็ได้ดังหวัง ไม่แปลกเลยที่ทุกคนจะไขว่คว้าหามัน แต่เมื่อได้มาแล้วนั่นแหละคือตัวปัญหาอันหนักหน่วง ใครมันจะนั่งอยู่บนบัลลังก์แห่งอำนาจได้ยาวนานโดยไม่มีคนอื่นมาโค่นล้มแย่งชิง
“ขอโทษนะคะคุณ” ราชาวดีเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มแหยๆ ให้ ทำไมสายตาของผู้ชายตรงหน้าถึงได้ทำให้เธอหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนคนกำลังเป็นไข้ก็ไม่รู้ แต่ชั่งเถอะเจอกันตอนนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเองนี่น่า พอจากไปก็จำไม่ได้แล้วละ ก็ใครมันจะมานั่งจำผู้หญิงที่สวยก็ไม่สวย ตัวก็เตี้ยม่อต้ออย่างเธอกันให้มันหนักสมองละ
เสียงใสเหมือนกับน้ำที่อยู่ในแก้ว บวกกับประกายในดวงตามีชีวิตชีวาและรอยยิ้มเหมือนกำลังจะเปิดโลกที่มีแต่สีดำสนิทด้วยโลกที่อยู่เต็มไปด้วยความลับดำมืดมิดและการเข่นฆ่าให้สว่างสดใสจนเซกิจิโร่เห็นว่าการต้องยืนสนทนาอยู่กับเด็กที่กำลังแตกเนื้อสาวคนนี้ไม่เป็นการดีแน่ เผลอๆ เขาอาจจะคว้าเอวบางนั่นมาแล้วประทับกดจูบแผดร้อนให้เด็กใจแตกเสียเปล่าๆ ทำลายผู้หญิงมาก็มาแล้วไม่อยากทำร้ายดึงคนตรงหน้าเข้ามาในโลกคาวโลกีย์ที่เขาอยู่อีกคน
สงสาร...ที่ไม่ควรจะมีสำหรับคนทำงานที่ทุกวินาทีของชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างเขา เพราะมันจะนำซึ่งความตายมาให้ ถ้าหากไม่เชื่อก็ต้องกลับไปดูที่บ้าน ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่แล้ว ตัวอย่างที่เขาเอาไว้สอนใจว่าห้ามรักใคร ห้ามมีความสงสารให้ใครถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่
“ทีหลังจะเดินก็หัดดูทางเสียบ้างไม่ใช่เหม่อลอยจนทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน” นี่ก็อีกอย่างที่เซกิจิโร่แปลกใจ ทำไมเขาถึงได้อยากต่อปากต่อคำกับยัยเด็กซึ่งเพิ่งจะวางขวดน้ำนมไว้ใกล้ๆ ตัวด้วยก็ไม่รู้ ชายหนุ่มปรายตาไปยังลูกน้องที่ยังทำตัวเหมือนกับหุ่นยนต์
แม้ว่าการมาครั้งนี้ของเขาจะเงียบๆ แต่ทว่าก็ยังมีลูกน้องตามติดมาให้ความคุ้มครองก็หลายคนอยู่ แต่แปลกแฮะ...ที่หน้าตาของเขาและลูกน้องหน้าดุไม่ทำให้ยัยเด็กซุ่มซ่ามขลาดกลัวได้ แถมยังจะยิ้มรับเสียอีก ความหงุดหงิดเริ่มที่จะเกาะกุมหัวใจแข็งกระด้าง
“นายครับ” หนึ่งในลูกน้องที่ยกแขนขึ้นดูนาฬิกาเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อม
“อือ...” เซกิจิโร่รับคำในลำคอและเดินไปโดยไม่หันกลับมามองด้านหลังอีก
ชิ...เห็นว่าหล่อหน่อย ทำเป็นหยิ่ง รีบๆ ไปเถอะยะ นึกหรือว่าฉันจะสน แต่ก็อดที่จะมองตามร่างหนาใหญ่ที่ถูกห้อมล้อมด้วยลูกน้องจำนวนห้าคนที่แม้จะใส่สูทผูกเนกไทแต่ทว่ายังปกปิดรัศมีแห่งความเหี้ยมโหดเอาไว้ไม่ได้เลย ลักษณะตั้งแต่หัวหน้ายันลูกน้องเหมือนกับ...
เออแล้วนี่เราจะไปสนใจเรื่องของคนอื่นทำไมกันละนี่...ศีรษะทุยสะบัดไล่ความคิดทุกอย่างที่มันผุดขึ้นมาในสมอง แล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าแก่ที่ตอนนี้สายหนังที่มีบางส่วนหักงอจนแทบจะหลุดออกจากกั้นและยังแข็งจนถ้าหากว่าขยับผิดท่ามันก็บาดข้อมือเอาได้
ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นเข็มของนาฬิกาที่อยู่บนหน้าปัดบอกซึ่งเวลาว่าเหลือไม่ถึงห้านาทีจะหกโมง...ตายแล้วสายแน่ๆ เลยเรา แล้วจะถูกหักเงินหรือเปล่านี่ โอ๊ยตายแล้ว เพราะอีตาบ้าสุดหล่ออย่างกับเทพบุตรนั่นเชียวที่ทำให้ฉันเข้างานช้า กลีบปากอวบอิ่มขยับให้พรคนที่ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ
แวบหนึ่งที่ในหัวใจราชาวดีบอกว่าเธอไม่สมควรที่จะเข้าไปในโรงแรมและทำงานในค่ำคืนนี้ เพราะผู้ชายคนนั้น...ผู้ชายที่มีลูกน้องห้อมล้อมเหมือนกับมาเฟีย เพียงแค่คิดเท่านั้นเองก็เหมือนกับว่าไอเย็นยะเยือกเหมือนกับน้ำแข็งจากกายใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่แผ่ซ่านมาคลอบคลุมจนกายเล็กสั่นสะท้านขึ้นมา
สองมือเล็กยกขึ้นลูบไล้ลำแขนเสลาเมื่อรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่เมื่อถึงจำนวนเงินที่จะได้รับหญิงสาวก็รีบสลัดความคิดถึงชายหนุ่มในชุดขาวทิ้งไป พาร่างบอบบางวิ่งไปในส่วนที่ตัวเองจะต้องไปรายงานตัวรับงานและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเตรียมพร้อมสำหรับทำงานจนแทบจะเห็นฝุ่นที่มันกระจายตัวออกยามที่เท้าเล็กๆ กระทบลงไปบนพื้น

4 ความคิดเห็น:

  1. แวะมาทักทาย
    อ่านเจอคำผิด ตรง "ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ.........."ตื่นต้น" ค่ะ...อิอิ.........

    ตอบลบ
  2. แค่เริ่มนางเอกก็มีแววน่าสงสารแล้ว

    ตอบลบ
  3. แต่ถ้าอ่านไปจริงๆ จะรู้ว่าเธอก็ร้ายนะ

    ตอบลบ