หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ปฐมบทแห่งความแค้น



เพลิงรักร้อน ซ่อนรักร้าย
เมื่อความเกลียดมันสุมทรวง ความแค้นมันสุมใจให้แทบมอดไหม้
การทวงแค้นที่แม้จะต้องลากคนไม่เกี่ยวข้องอย่างเธอด้วยมาร่วมวง เขาก็พร้อมจะทำ
เพื่อให้คนที่ทำให้เขาและครอบเจ็บได้รับกรรมอย่างสาสม
***********

ปฐมบทแห่งความแค้น
“พ่อละครับแม่”
ไม่ทันจะได้หย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาใกล้กับมารดา เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ตอนนี้ทั้งที่ยังโตไม่เต็มวัยแต่สัดส่วนความสูงอยู่ที่ 160 ซม. อกและไหล่กว้างผึ่งผายและมีเค้าว่าหากโตเต็มวัยจะสูงและใหญ่กว่านี้อีก เค้าหน้าตาคมสันด้วยคิ้วหนาเป็นปื้นเส้นขนเรียงกันอย่างสวยงามตวัดโค้งขึ้นด้านบนเล็กน้อย ดวงตาสีสนิมคมกริบเหมือนกับพญาเหยี่ยวรับกับจมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากหนาหยักศกเอ่ยถาม เมื่อกวาดสายตาไปทั่วห้องแล้วก็ยังไม่เห็นบิดาที่นัดกับเขาไว้ว่าวันนี้จะพาไปซื้ออุปกรณ์สำหรับหัดยิงปืน ตวัดสายตามองไปที่นาฬิกาผนังแบบโบราณด้วยลูกตุ้มที่ห้อยแกว่งไปมาบอกเวลายามบ่ายย่ำเกือบจะเย็นแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับแม่”
เอ่ยถามอย่างสงสัย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เมื่อเห็นสีหน้าของมารดาดูไม่สู้ดีนัก วงหน้าที่แม้จะล่วงเลยวัยห้าสิบปีไปแล้วแต่ยังสวยเปล่งปลั่งเหมือนยังมีวัยเพียงแค่สามสิบปลายๆ เท่านั้นในวันนี้กลับมีริ้วรอยของความกังวลและขลาดกลัว ข้างขมับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมา แม้จะแอบยกมือขึ้นซับแบบเลี่ยงๆ ไม่ให้เขาทันจับพิรุธได้แต่มันกลับผุดกลับขึ้นมามากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ท่าทางการนั่งก็หลุกหลิกหันรีหันขวางคอยแอบปลายสายตาไปมองห้องทำงานของบิดาที่อยู่มุมขวาของบ้านที่ตอนนี้มีเสียงทะเลาะของผู้ชายสองคนดังออกมาให้คนนอกห้องได้ยินอยู่ ไม่ใช่ว่าประตูปิดไม่สนิทแต่คงจะเป็นเพราะคนที่อยู่ภายในห้องนั้นกำลังโกรธอย่างรุนแรงจนถึงกับระเบิดอารมณ์เอากับข้าวของในห้องอยู่บ่อยครั้ง วงหน้าขาวซีดเผือดและตื่นตระหนก
รอฟังคำตอบอยู่เป็นนานแต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากปากคนแม่ ชินกฤตลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปนั่งใกล้ๆ สองมือใหญ่จับมือเล็กที่พอสัมผัสเขาก็รับรู้ถึงความเย็นจนเหมือนกับจับก้อนน้ำแข็ง
“แม่ครับแม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ” เอ่ยถามเสียงอบอุ่น บีบกระชับมือมารดาเบาๆ ก่อนวงแขนแข็งแกร่งจะเปลี่ยนเป็นโอบรอบกายเล็กหันหน้าไปยังห้องทำงานของบิดาที่ตอนนี้ยังคงมีเสียงดังเล็ดลอดออกมา แต่ก็ยังจับคำพูดให้ประติดประต่อเป็นประโยคไม่ได้
“ปะ...เปล่าลูก ไม่มีอะไร” เอรียาสะดุ้งรีบตอบปฏิเสธลูกชายอย่างคนที่มีอาการลุกลี้ลุกลน ด้วยในอกนั้นร้อนรุ่มไปด้วยความกลัว “แล้วหนูมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก” เอ่ยปากถามไปโดยที่ใบหน้ายังจะไปมองประตูห้องทำงานสามีด้วยความหนักระคนทุกข์ในหัวใจ
เกือบจะเดือนที่เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกชาย นางและชินวุฒิพยายามที่จะปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทำอะไรให้เป็นปกติ ทั้งๆ ที่ภายในกำลังกังวลอย่างหนัก เฝ้าภาวนาว่าสิ่งที่สามีเฝ้าบ่นพึมพำและบอกเล่าให้ฟังบ้าง เพื่อระบายความเครียดที่มันสุมอยู่ในทรวงจะไม่เป็นความจริง
แต่แล้ววันนี้...คนที่นางไม่อยากให้มาเยี่ยมบ้านก็เดินทางมาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่สู้ดี หวังว่าคงจะไม่อย่างที่นางคิดคิด เพราะถ้าหากธุรกิจที่สามีเพียรสร้างมาเกือบจะตลอดชีวิตจะต้องล้มครืนลงไปหรือไม่ก็สับเปลี่ยนคนถือครอบครอง ชินวุฒิคงจะต้องทำใจยอมรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงที่มาจากการทุจริตของคนภายในที่สร้างหลักฐานทุกอย่างมุ้งเน้นให้สามีเธอเป็นผู้รับผิดชอบไม่ได้
“ไม่จริง...แม่ต้องมีอะไรปิดผมแน่เลย” ชินกฤตตอบกลับอย่างไม่เชื่อ เพราะความที่เขาอยู่ใกล้ชิดกับบิดามากแล้วยังถูกสอนให้เป็นคนช่างสังเกต ละเอียดถี่ถ้วนในทุกอย่างที่ทำและมีความรับผิดชอบ แม้จะยังเป็นเด็กแต่ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ อีกทั้งความเฉลียวฉลาดที่มีทำให้หนุ่มน้อยสามารถมองออกได้ว่าสถานการณ์ภายในบ้านตอนนี้ไม่สู้จะปกติสุขนัก ยิ่งได้เห็นใบหน้ามารดาที่ซีดเผือดจนแทบจะไม่มีสีเลือดหลงเหลืออยู่ก็ยิ่งให้เกิดความอยากรู้ระคนกังวลใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับแม่ ทำไมมีอะไรแม่ถึงไม่บอกให้ผมรู้บ้าง จะได้ช่วยๆ กัน” รับรู้มาตั้งแต่วันที่บิดาเริ่มจะมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะแล้ว พยายามจับพิรุธ คอยเลียบเลียงเคียงถามก็ตั้งหลายครั้งหลายหนแต่บิดาและมารดาก็ปกปิดเงียบสนิท 
น้ำเสียงนุ่มทุ้มและอบอุ่นจากปากลูกชายที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปถึงหัวอกหัวใจอันขลาดกลัวและร้อนในอกจนแทบจะลุกไหม้เป็นผุยผงทำให้คนเป็นแม่ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา สิ่งที่ลูกชายมอบให้...สัมผัสจากมือและแขนใหญ่ที่โอบรัดรอบกายเรียกน้ำตาอุ่นๆ เอ่อล้นคลอเบ้า
เอรียาข่มกลั้นอารมณ์ทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ภายใน ไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเลวร้ายสักเพียงใด นางและสามีไม่อยากให้ลูกชายได้ล่วงรู้ถึงสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ค่อยๆ หันใบหน้าจากบานประตูห้องทำงานสามีมาคลี่ยิ้มหวานๆเห็นเขี้ยวที่อยู่ทั้งสองฝั่งของมุมปาก ประกายในดวงตายังคงอ่อนโยนและเย็นใจอยู่เป็นเนืองนิตย์
“ไม่มีอะไรจริงๆ ลูก” ตอบปฏิเสธอย่างไม่อยากให้ลูกชายที่กำลังจะต้องเตรียมตัวไปสอบเรียนต่ออีกไม่ถึงเดือนข้างหน้าจะต้องกังวลใจโดยใช่เหตุ มือเล็กยังยกขึ้นวางทาบบนมือใหญ่และตบเบาๆ ตอกย้ำลงไปอีกครั้ง
“พ่อของลูกเก่ง แม่เชื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อจะต้องพาเราสองคนแม่ลูกผ่านพ้นวิกฤตินั้นไปได้จ๊ะ” ยังคงมั่นใจในความสามารถของสามีผู้อันเป็นที่รักแต่พูดยังไม่ทันจะขาดคำดี
ปัง!!!
สองแม่ลูกสะดุ้งรีบหันไปมองประตูห้องทำงานของผู้เป็นประมุขของบ้านที่เปิดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและเสียงดังลั่นสนั่นสะเทือนไปทั้งบ้าน
“ผมให้โอกาสพี่แล้วนะแต่พี่เลือกที่จะปิดทางนั้นเอง ถ้าเกิดอะไรร้ายแรงกว่านี้พี่ก็เตรียมตัวรับมันให้ดีแล้วกัน แล้วจะมาโทษว่าผมใจจืดใจดำไม่ได้นะครับ”
ชายวัยกลางคนในชุดสูทสากลมาดเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะที่แม้พายุลมจะแรงแต่ผมบนศีรษะทุยก็ยังไม่แม้แต่จะกระดิก เสื้อผ้าที่เรียบและหรูถ้าไปยืนใกล้ๆ คงจะถูกกลีบของผ้าคงจะบาดเข้าไปในเนื้อให้เป็นแผลเลือดไหลหันไปตวาดเสียงแข็งกร้าวและดุร้ายใส่คนที่ยังคงยืนนิ่งเฉยเหมือนกับไม่ยินดียินร้ายอะไรเลยด้วยความโกรธกรุ่นระคนหงุดหงิดที่ช่วยเปิดหาทางออกให้ทุกๆ ทางแล้วแต่คนที่เขานับถือเป็นพี่ชายคนหนึ่งก็ยังดื้อรั้นดันทุรังไม่ยอมรับรู้อะไรเลยสักนิด  
แม้จะปรับให้สีหน้าเป็นปรกติมากเท่าไหร่แต่ชินกฤตก็ยังทันได้เห็นใบหน้าบิดาที่ขาวซีดเผือดสียิ่งกว่ากระดาษ วงหน้าที่เคยมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ตลอดเวลากลับเคร่งขรึม รอบขอบตาลึกโบ๋ลงไป ประกายในดวงตาที่มองมาสบกับเมียรักและลูกชายมันเป็นแววตาของคนที่กำลังเปี่ยมล้นไปด้วยท้อแท้และกำลังจะสิ้นหวัง หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะพยุงกายให้ก้าวเดินต่อไป เรือนกายสูงใหญ่ที่เคยมีสง่าราศีกลับกลายเป็นเหมือนคนแก่ที่มันพิกลพิการหงิกงอช่วยตัวเองไม่ได้และสั่นสะท้านเหมือนกับเรือลำใหญ่ที่มันล่องอยู่ในนาวาที่มีพายุลมแรง พร้อมจะล้มคว่ำและอับปางลงได้ในทุกเวลา
“พ่อ...” ชินกฤตก็ไม่รีรอถลาวิ่งไปหาบิดาที่ตอนนี้ยืนโงนเงนจะล้มอยู่รอมร่อแต่ก็ยังฝืนพยุงกายเอาไว้ แล้วเพียงแค่เขาวิ่งไปถึงบิดาก็ลมลงในอ้อมแขน 
“พ่อ...พ่อครับ” ชินกฤตร้องเรียกบิดาเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ มือหนึ่งสอดใต้ร่างบิดาอีกมือยกขึ้นทาบบนวงหน้าที่พอแตะลงไปก็รับรู้ถึงความเย็นจัดของร่างกาย หันไปมองชายอีกคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนรักของพ่อร่วมหัวจมท้ายทำงานกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ยืนมองอย่างเฉยเมย
“ดูแลพ่อให้ดีนะจอห์น แล้วอาจะมาใหม่” ไม่ใช่ไม่เป็นห่วงชายตรงหน้าที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ เป็นครอบครัวที่เขามีและรวมไปถึงเป็นครูคอยสอนสั่งแนะนำกลยุทธ์เล่ห์เหลี่ยมในเรื่องงานให้อย่างไม่เคยที่จะตระหนี่และหวงแหน แต่ความกดดันจากหุ้นส่วนที่โยนใส่เขามาเต็มๆ จนเขาเองก็แย่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน
เขาเป็นเหมือนกับคนใจร้ายไปเสียแล้วที่ทำให้พี่ชายถึงกับเป็นลมแล้วยังจะไม่ดูดำดูดีอีก ใครรู้เข้าก็ต้องหาว่าเขาใจดำ แต่การอยู่ของเขาอาจทำให้ทุกๆ อย่างมันย่ำแย่ไปกว่านี้ก็เป็นได้ สู้เขาเลี่ยงไปเสียก่อนให้ชินวุฒิได้มีโอกาสตั้งหลักตั้งตัวดึงเอาความสามารถที่มีทำให้คนอื่นเห็น
แต่ตอนนี้เป็นสิ่งที่ชินวุฒิเองก็ต้องยอมรับความเป็นจริงด้วย ไฟกำลังร้อนเหตุการณ์ในบริษัทกำลังย่ำแย่ ผู้ถือหุ้นทั้งหลายเริ่มหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจแล้ว บางรายถึงกับพูดเปรยๆ เรื่องการถอนหุ้นอีกด้วย แล้วถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้บริษัทที่ร่วมกันสร้างมาตั้งแต่เล็กๆ จนเป็นบริษัทใหญ่และมั่นคงก็จะล้มครืนลงไปเพียงแค่พริบตาเดียว เขาซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ร่วมก่อตั้งทนให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้ แล้วสิ่งที่เขาเสนอไปนั้นไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อทุกๆ คน หากว่าชินวุฒิสามารถหาหลักฐานพิสูจน์ตัวเองได้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนกล่าวอ้าง...
ยักยอกเงินและทุจริต...เปิดเผยความจริงให้ทุกคนได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนผิด เขาเชื่อว่าทุกๆ คนก็พร้อมที่จะให้ชินวุฒิกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมได้อีกครั้งและเป็นไปอย่างเปิดเผยและงามสง่า
ชินกฤตไม่สนใจว่าคนตรงหน้าพูดอะไรเพราะใจเขาอยู่ที่บิดาซึ่งตอนนี้ร่างกายเย็นเฉียบเหมือนกับมีน้ำแข็งเกาะ ลมหายใจก็อ่อนแรงจนแม้กระทั่งลมหายใจที่มันควรจะออกมาจากจมูกก็ไม่มี “แม่ครับพ่อเป็นอะไรไม่รู้ แม่เรียกหมอหน่อยครับ” แต่เด็กหนุ่มก็ยังพอจะมีสติพอที่จะตะโกนสั่งให้มารดาซึ่งตอนนี้ก็แทบจะลมจับไปอีกคนเรียกหมอ
รอคอย...แต่ดูว่าอาการของบิดาดูจะไม่น่าไว้ใจเลย แล้วมารดาก็ชักช้างุ่มง่าม ช้าเกินไปไม่ทันใจวัยรุ่นและทันต่ออาการของบิดา ชินกฤตจึงเลือกที่จะช้อนร่างซึ่งไม่มีสติของบิดาขึ้นและวิ่งออกไปนอกบ้าน พร้อมร้องตะโกนบอกมารดาที่วิ่งตามหลังมาติดๆ
“แม่ครับ แม่เอากุญแจรถมาให้ผมด้วยนะครับพ่อครับ พ่ออย่าเป็นอะไรไปนะครับ ผมกับแม่จะพาพ่อไปหาหมอ” ร้องตะโกนบอกมารดาสลับกับเรียกชื่อบิดาเพื่อให้ท่านรับรู้ว่าตรงนี้ยังมีเขาและแม่เป็นห่วงและอยู่เป็นเพื่อนใกล้ๆ
หนึ่งหนุ่มน้อยที่กำลังเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ หนึ่งสาววัยกลางคนร่างเล็กประคับประคองผู้เป็นประมุขของบ้านเข้าไปในรถอย่างทุลักทุเลก่อนชินกฤตจะขับรถออกไปอย่างเร็วรี่พร้อมกับเฝ้าภาวนาอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์อย่าให้บิดาเป็นอะไรไปเลย  
แต่สิ่งที่เขาอ้อนวอนสวรรค์เบื้องบนคงจะไม่เห็นและไม่รับรู้เพราะเพียงแค่รถเลี้ยวออกจากซอยขึ้นถนนใหญ่ก็มีรถมอเตอร์ไซด์ตามประกบติด ถ้าในช่วงที่ไม่เกิดวิกฤติแบบนี้คนที่ละเอียดรอบคอบอย่างชินกฤตคงจะมองเห็น แต่เพราะในสายตาเขาตอนนี้มีเพียงแค่ความเป็นความตายของบิดา จึงได้แต่เร่งรีบพารถคันใหญ่ไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด
สองมือใหญ่จับพวงมาลัยรถจนเอ็นตามข้อผุดขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งวงหน้า กรามหนาขบกัดจนแก้มอวบอูมนูนขึ้นสันประคองรถให้ผ่านโค้งที่ถ้าประมาทเพียงนิดเดียวก็มีหวังลงไปนอนอยู่ในคูน้ำและพงหญ้าข้างทางแทน แล้วเส้นทางก็ค่อนข้างจะเปลี่ยวด้วยว่าบ้านเขาอยู่ชานเมืองออกไปกว่าจะมีคนเข้ามาให้การช่วยเหลือ มันคงจะไม่ทันกาล
ชินกฤตประคองรถไปได้อีกเพียงแค่เล็กน้อย รถคันใหญ่ก็เซถลาไปไม่ตรงเส้นทาง เสียงแม่หวีดร้องและเอ่ยถามมา แต่เขากลับไม่มีโอกาสได้ตอบ ด้วยสายตาเหลือบมองไปแล้วเห็นปลายกระบอกปืนสีดำเขื่อมที่จ้องมา สติที่มันกำลังจะขาดผึงลงไปสั่งให้เขาประคองรถไปให้ตรงทางและไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างหวั่นกับกระสุนหลายนัดที่มันกระหน่ำยิงมา
แต่เพราะความที่เขายังเป็นมือใหม่หัดขับแม้จะพยายามจนสุดความสามารถแล้วก็ตามแต่ก็ไม่อาจที่จะประคองรถเอาไว้ไม่ได้ รถคันใหญ่บรรจุคนสามคนถลาพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าอย่างจัง หนึ่งร่างคนขับที่ถูกอัดเข้ากับพวงมาลัยรถแต่ดีว่ามีถุงลมอัดจนประตูเปิดให้เด็กหนุ่มกระเด็นออกจากรถ แต่อีกสองร่างกลับติดอยู่ในนั้นก่อนที่คนร้ายซึ่งต้องการความมั่นใจก้าวลงจากรถและเดินลงมากระหน่ำยิงซ้ำอีกครั้งจนรถคันใหญ่เกิดระเบิด เปลวไฟจะโหมลุกไหม้อย่างทันใจ ก่อนที่มันจะเดินอย่างอาจหาญไปขึ้นรถและขับหนีไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดและกลัวว่าจะมีใครมาเห็นเข้า
ชินกฤตผุดลุกขึ้นนั่งสะลัดบัดศีรษะให้คลายจากอาการมึนงงเพราะเขาหล่นลงมากระแทกกับอะไรที่เขาไม่คิดจะสนใจมองด้วยความกลัวระคนตื่นตระหนกที่มันเกาะกุมหัวใจ แต่ถึงจะอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังรีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนดวงตาคมกริบสีสนิมจะเบิกกว้าง ร่างที่คนหนึ่งนิ่งสงบไปไม่มีแม้แต่เสียงร้อง ส่วนอีกร่างตะเกี่ยตะกายพาตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกเผาทั้งเป็น
“พ่อ!!! แม่!!!
ร้องเรียกบิดาและมารดาที่อยู่ในรถเสียงดังลั่น รีบถลาลุกขึ้นยืนแต่กว่าจะยืนทรงตัวได้เพราะอาการทางร่างกายที่มันเกิดขึ้นอย่างที่เขาไม่สามารถจะหักห้ามได้ ทั้งสั่นและหมดแรงผุดมาเป็นระรอก ศีรษะก็เจ็บร้าวรวมไปถึงกลิ่นคาวเลือดที่มันลอยคละคลุ้งมาเข้าจมูก แต่ถึงอย่างนั้นหนุ่มน้อยก็ไม่ได้คิดสนใจ เพราะหัวใจเขาอยู่ที่สองร่างในรถที่มีเพลิงไฟลุกไหม้อย่างน่ากลัว
“คุณตื่นซิคะตื่น...จอห์น...ช่วยแม่ด้วย”
เอรียาที่สลบไปเป็นชั่วครู่และตื่นขึ้นมาเพราะความร้อนเขย่าร่างสามีอันเป็นที่รักให้ตื่นขึ้นพร้อมร้องเรียกลูกชายสลับหันไปเปิดประตูรถแต่ทำยังไงมันก็ไม่ยอมออก น้ำตาอุ่นร้อนไหลพรากอาบสองแก้ม วงหน้าสามีขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษ อีกทั้งลมหายใจก็เบาหวิว มือเล็กเขย่าแรงๆ ให้คู่ชีวิตที่อยู่กินกันมาเป็นเวลาสามสิบปีตื่นฟื้นแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าชินวุฒิจะได้สติ
“พ่อ!!! แม่!!!
เด็กหนุ่มร้องเรียกอย่างที่เขาคิดว่าดังสุดเสียงแล้ว แต่ทว่ามันกลับเป็นเพียงแค่สายลมบางเบาที่ออกจากริมฝีปาก อีกทั้งน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหนไหลหลั่งออกจากสองตาอย่างที่หักห้ามเอาไว้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้อิดออดรีรอข่มกลั้นอาการหวาดกลัวและอาการต่างๆ ทางร่างกายเอาไว้พยุงตัวเองที่เดินโงนเงนไปช่วยมารดาอย่างไม่หวั่นเกรงไฟร้อนๆ ที่มันจะเผาไหม้ร่างกายเพื่อช่วยคนที่รักให้ออกมาอย่างปลอดภัย
“อดทนนิดนะครับแม่ ผมมาช่วยแล้ว” ปากก็ร้องตะโกนบอกคนในรถ มือก็สาละวนดับไฟสลับปาดไล้น้ำตาบนวงหน้า สองมือพยายามแกะแงะให้ประตูรถฝั่งที่มารดานั่งอยู่ที่มันไม่รู้ว่าติดอะไรเปิดยังไงก็เปิดออก แต่เพียงแค่ยื่นมือไปไม่ทันจะได้แตะตัวรถด้วยซ้ำความร้อนก็แทบจะเผามือและกายให้มอดไหม้ แต่หนุ่มน้อยก็คิดที่จะไม่ยอมแพ้ เสื้อตัวใหญ่ถูกถอดออกมาเพื่อพันมือเอาไว้
ปากสีแดงๆ ก็ขยับเอ่ยบอกคนภายในรถให้รับรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ มือก็ยังทำทำงานของมันอย่างเต็มความสามารถที่มี พร้อมที่จะฝ่าเปลวไฟร้อนแรงที่มันกำลังเผาไหม้อยู่เพื่อช่วยให้ท่าน...คนที่เขารักทั้งคู่ยังคงอยู่กับเขาต่อไป
“จอห์น ช่วยพ่อก่อนลูก ช่วยพ่อก่อน” แม้สถานการณ์จะอยู่ในขั้นวิกฤติแต่เอรียาก็ยังเลือกที่จะบอกลูกชายให้ช่วยเหลือสามีที่ตอนนี้ความตายดูจะมาเยือนมากกว่าความเป็น น้ำใสๆ เอ่อล้นคลอเบ้าด้วยความยินดีที่ได้เห็นว่าบุตรชายคงปลอดภัย
 “ถอยไปครับแม่ ถอยไป!!!” ชินกฤตร้องตะโกนบอกคนในรถให้ถอยห่างไป คิดว่าถ้าทำอยู่อย่างนี้ไม่แคล้วทั้งบิดาและมารดาคงจะต้องถูกไฟคลอกตายก่อนที่เขาจะช่วยเหลือได้สำเร็จ หนุ่มน้อยที่ตอนนี้ร่างกายเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและร่องรอยแดงๆ ของไฟที่มันเผาไหม้ มือใหญ่กระชากเสื้อออกมาพันมือใหม่อีกครั้งให้แน่นพอ
“ถอยออกไปครับแม่ ถอยไป!!!” ตะโกนบอกทั้งที่น้ำตาและหยาดเหงื่ออาบไล้เต็มวงหน้าคมสันที่มีอาการตื่นตระหนก มือกระหน่ำซ้ำทุบไปบนกระจกจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยรีบคว้าร่างของมารดากระชากลากออกจากรถไปอยู่ในที่ปลอดภัยอย่างทุลักทุเล “แม่รออยู่ตรงนี้นะครับ ผมจะไปช่วย...” แต่ไม่ทันที่ชินกฤตจะได้ย้อนกลับไปช่วยชินวุฒิรถที่ไฟลุกท่วมอยู่ก็เกิดระเบิดขึ้นตูมใหญ่
“คุณ...กรี๊ด!!!!!!!!!!” เอรียากรีดร้องเสียงหลงก่อนร่างเล็กจะฟุบแน่นิ่งไปอย่างคนที่ช็อกสุดขีด
“พ่อ!!!!!!!!
ชินกฤตตะโกนร้องเรียกบิดาเสียงหลง เป็นลูกผู้ชายไม่สมควรที่จะร้องไห้ แต่เขาไม่อาจระงับน้ำตาซึ่งหัวใจสั่งมาให้มันไหลอาบสองแก้มให้หยุดไหลได้ จะไปช่วยบิดาออกจากรถก็ทำไม่ได้แล้วเพราะร่างเล็กบางของมารดาที่ซบแน่นิ่ง วงหน้าสวยหวานซีดเผือดยิ่งกว่ากระดาษ ลมหายใจก็อ่อนแรงจนเขากำลังกลัว...กลัวว่าจะต้องสูญเสียคนที่รักไปอีกคน
“แม่ครับ แม่อย่าเป็นอะไรไปนะครับ อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวนะครับแม่”
พร่ำพูดเหมือนกับคนละเมออย่างหวาดกลัวสุดหัวใจ แขนใหญ่สอดกระชับร่างเล็กขึ้นพาวิ่ง...วิ่งอย่างไม่ยอมหยุดพร้อมร้องตะโกนขอความช่วยเหลือให้คนที่ผ่านไปมาช่วยพามารดาไปหาหมอแต่กลับไม่มีใครสนใจเลยสักคนเดียว กว่าที่ชินกฤตจะพามารดาไปถึงมือหมอก็เป็นเวลาย่ำค่ำ หนุ่มน้อยได้แต่เฝ้าภาวนาให้มารดาปลอดภัยก่อนที่เขาซึ่งตอนนี้กลายเป็นคนคิดมากและหวาดระแวงไปเสียแล้ว ด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการจงใจของใครบางคนที่เขาไม่ได้อยากจะคิดถึงมันเลย
ชินกฤตไม่สนใจอาการเจ็บที่มือและส่วนอื่นๆ ของร่างกายพากายหนาสูงใหญ่หลบลี้ซ่อนแอบมุมซอกหนึ่ง เพื่อหลบคนที่ทำร้ายเขาและครอบครัว ซึ่งเขาคิดว่าถ้าหากพวกมันรู้ว่าเขาและแม่ยังคงอยู่ พวกมันจะต้องไม่รามือหันมาทำร้ายอีกครั้งแต่อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าออกมาเพื่อดูว่าแพทย์ที่เข้าไปทำการรักษามารดาเดินออกมาหรือยัง แม้จะพยายามเรียกเอาความเข้มแข็งแต่ยังไงเด็กที่เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มก็ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่สูง ให้พยายามเท่าไหร่น้ำตามันก็ยังออกมาอย่างที่ไม่สามารถหักห้ามเอาไว้ได้ 
เวลาผ่านไปจากวินาทีเป็นนาที เป็นชั่วโมงแต่หมอก็ยังไม่ออกมาแจ้งข่าว ชินกฤตเดินวนไปเวียนมา สีหน้าซีดเซียวและยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยฝุ่นละอองบวกกับอาการตื่นตระหนกและขลาดกลัวทำให้ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะแก่ขึ้นไปอีกโข แล้วร่างหนาใหญ่ก็ต้องรีบหลบเข้าซอกมุม เมื่อมีตำรวจสองนายเดิมมาพร้อมกับผู้ชายคนที่มาที่บ้านเขาก่อนที่จะทำให้พ่อเป็นลมหมดสติไป สอดส่ายสายตามองเหมือนกำลังหาใครสักคนและใครคนนั้นอาจจะเป็นเขาก็ได้และเพราะความกลัวทำให้ชินกฤตไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวออกไป ด้วยในวินาทีนี้ไม่ว่าใครก็ย่อมเป็นอันตรายแก่ตัวเขาทั้งนั้น ประจวบเหมาะกับหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินทำให้คนเหล่านั้นหันเหความสนใจไปยังเรื่องตรงหน้า
คำพูดที่ฝ่ายหนึ่งไต่ถาม อีกฝ่ายหนึ่งตอบกลับไม่ได้ดังเข้าไปในหูชินกฤตเท่ากับสองประโยคที่มันลอยมากระทบช่องหูแต่แล่นพล่านไปทั่วร่างกายฝังอยู่ในสมองและหัวใจที่พาลทำให้ร่างกายแข็งแกร่งถึงกับโงนเงนอย่างไม้ยืนต้นใหญ่ตระหง่านที่พร้อมจะล้มลงมาเพียงแค่ถูกลมพายุ
แม่...ช็อกจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา พ่อ...เสียชีวิตอยู่ในรถ
แม้จะทำใจยอมรับไว้บ้างแล้วว่ายังไงเสียบิดาก็คงจะไม่รอด แต่มาได้ยินอย่างนี้ก็ทำเอาเขาถึงกับล้มครืนไป หนุ่มน้อยอยากที่จะเข้าไปหาแม่ใจจะขาด อยากปลอบโยนและบอกกับท่านว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้นะ ท่านไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีเขาอีกคนเป็นเพื่อนแต่เขาทำไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นยืนสั่งการและคุมเชิงอยู่จนเขายอมล่าถอยไป เมื่อเริ่มมีการเคลื่อนไหวเหมือนกำลังหาตัวเขาอยู่
กรามหนาขบกัดบดเบียดจนแก้มตอบนูนเด่น ดวงตาสีสนิมเปล่งประกายลุกโชนเป็นเพลิงไฟ สองมือใหญ่กำหมัดไว้จนแน่น...เขาเชื่อว่าตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นยังไม่ได้ตัวเขา แม่เขาจะยังคงปลอดภัย กายใหญ่ตัดสินใจหันหลังจากไป วันนี้เขาจำต้องล่าถอย เพราะไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาต่อสู้แล้วเอาชนะผู้ชายคนนั้นได้ แต่วันหนึ่งเขาจะกลับมา...กลับมาอย่างสง่างามเพื่อที่จะ...
“พ่อครับแม่ครับ ไม่ว่าใครที่มันทำให้ครอบครัวเราต้องกลายเป็นแบบนี้...ผมสัญญาว่าจะเอาคืนมันให้สาสม พ่อกับแม่เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ”

คงจะแปลกใจที่อยู่ดีๆ เรื่องนี้ก็หายไปหมดใช่ไหมจ๊ะ 
ก็จะบอกว่า รีไรท์ให้มันสนุกกว่าเดิมกั๊บ แล้วก็ต้องขอให้นักอ่านทุกๆ คนช่วยกันด้วย ...คำผิด บอกด้วยนะกั๊บ แล้วไรเตอร์อยากให้เรื่องนี้เป็นโรแมนติก(ตรงไหนหว่า) โรมานส์กั๊บ ส่วนไหนที่มันเกินโรมานส์ไปรบกวนทุกๆ คนช่วยบอกกันหน่อยนะจ๊ะ นักเขียนตัวอวบอ้วนคนนี้จะได้ปรับปรุงเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีๆ ให้นักอ่านทุกๆ คนได้ยิ้มยามที่ได้อ่านกันคะ
ขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยค่าาาาาาาาาา 




2 ความคิดเห็น:

  1. เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวพระเอกง่ะ น่าสงสาร

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ2 เมษายน 2555 เวลา 04:23

    น่าสงสารสุดๆ

    ตอบลบ